Archives 2024

ม.นเรศวร สำรวจโซเดียมในอาหารมหาวิทยาลัย ชูแนวทางลดความเสี่ยงโรคจากการบริโภคอาหารรสเค็ม

ในวันที่ 18 มีนาคม 2567 หน่วยเวชปฏิบัติชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์และกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรได้จัดกิจกรรมสำรวจปริมาณโซเดียมในอาหาร โดยใช้เครื่องวัดความเค็ม (Salt Meter) เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในพื้นที่มหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDG 2 (การยุติความหิวโหย) และ SDG 3 (การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) รวมถึงการสร้างความร่วมมือในระดับภาคีเครือข่ายตาม SDG 17 (การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนา)

รายละเอียดการดำเนินการ กิจกรรมสำรวจในครั้งนี้มุ่งเน้นการประเมินระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในโรงอาหารและร้านค้ารอบมหาวิทยาลัย โดยทำการสำรวจอาหารในโรงอาหารของหอพักมหาวิทยาลัยจำนวน 12 ร้านค้า และเมนูอาหาร 13 ชนิด พบว่าอาหารที่มีระดับความเค็มน้อยมีจำนวน 9 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 69.23 ของตัวอย่างทั้งหมด อาหารที่มีระดับความเค็มมาก พบว่า 3 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 23.08 และอาหารที่มีความเค็มในระดับเริ่มเค็ม พบว่า 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 7.69

นอกจากนี้ ยังได้สำรวจร้านค้ารอบมหาวิทยาลัยนเรศวรจำนวน 10 ร้านค้า เมนูอาหารทั้งหมด 10 ชนิด พบว่าอาหารที่มีความเค็มน้อยมีจำนวน 5 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 50 อาหารที่เริ่มเค็มมีจำนวน 4 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 40 และอาหารที่เค็มมากพบว่า 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 10

การแนะนำและส่งเสริมการลดโซเดียมในอาหาร ในกระบวนการสำรวจครั้งนี้ ทีมงานได้ให้คำแนะนำแก่ร้านค้าเกี่ยวกับการลดปริมาณเครื่องปรุงรสในอาหาร โดยเฉพาะการลดการใช้น้ำปลาและเกลือ ซึ่งเป็นแหล่งของโซเดียมที่สำคัญ คำแนะนำดังกล่าวมุ่งเน้นที่การสร้างสมดุลในการปรุงรส เพื่อให้รสชาติยังคงอร่อย แต่ลดปริมาณโซเดียมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ ทีมงานยังได้ติดสติกเกอร์แสดงข้อมูลเกี่ยวกับระดับความเค็มของอาหารสำหรับร้านค้าที่มีเมนูอาหารเค็มน้อยจำนวน 14 ร้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำและดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น การติดสติกเกอร์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงปริมาณโซเดียมในอาหาร แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าปรับปรุงการใช้เครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ผลกระทบและการยกระดับคุณภาพชีวิต การลดปริมาณโซเดียมในอาหารส่งผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมสูง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต การลดปริมาณโซเดียมในอาหารจึงเป็นการส่งเสริมสุขภาพที่ยั่งยืนในระดับบุคคลและสังคม อีกทั้งยังช่วยลดภาระด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคในระยะยาว

การสำรวจและการให้คำแนะนำนี้ยังช่วยเพิ่มการตระหนักรู้ในกลุ่มนิสิตและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับผลกระทบของโซเดียมต่อสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมต่ำจะส่งผลให้ชุมชนมหาวิทยาลัยนเรศวรมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นและมีสุขภาพที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

การเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กิจกรรมการสำรวจโซเดียมในอาหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับ SDG 2 (การยุติความหิวโหย) ในการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังเชื่อมโยงกับ SDG 3 (การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) ซึ่งมุ่งเน้นการลดการบริโภคโซเดียมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ การส่งเสริมให้มีการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคที่สามารถป้องกันได้

นอกจากนี้ การลงมือร่วมมือกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์และกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังสะท้อนถึง SDG 17 (การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนา) โดยการร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชน

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านค่ายสร้างคุณค่าสำหรับนิสิตพิการ

มหาวิทยาลัยนเรศวรเน้นย้ำบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตและสร้างความเท่าเทียมทางการศึกษา โดยจัด โครงการกระบวนกรสร้างคุณค่า เพื่อพัฒนาทัศนคติและความสัมพันธ์ระหว่างนิสิตพิการและนิสิตทั่วไป กิจกรรมนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 ณ บ้านหมอรีสอร์ท จังหวัดสุโขทัย

โครงการดังกล่าวมุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนิสิตทุกคน เพื่อสนับสนุนการแสดงออกอย่างเต็มที่ ปลูกฝังพลังบวก เสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม และพัฒนาทักษะสำคัญในการสื่อสารและการอยู่ร่วมกันในสังคม ภายในค่ายมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น การพูดคุยแบบเปิดใจ การทำงานร่วมกันในกลุ่ม และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นมิตร

นิสิตพิการที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับประโยชน์ทั้งในด้านการพัฒนาตัวเอง พร้อมเรียนรู้ที่จะเข้าใจและสนับสนุนซึ่งกันและกัน นับเป็นการเสริมสร้างศักยภาพที่มีคุณค่าแก่ทุกคนที่เข้าร่วม

มหาวิทยาลัยนเรศวรยังคงมุ่งมั่นลดข้อจำกัดทางการศึกษา และส่งเสริมศักยภาพนิสิตในทุกมิติ เพื่อให้การศึกษาเข้าถึงทุกคนอย่างเท่าเทียม นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 4) ที่เชื่อมโยงการเรียนรู้ตลอดชีวิตกับการสร้างสังคมแห่งความเท่าเทียมและครอบคลุมในทุกด้าน

การอบรมเชิงปฏิบัติการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน(BLS Provider)

โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน(BLS Provider) เรื่อง “การดูแลผู้ป่วยในภาวะการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (anaphylaxis)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีที่อาจเกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์หรือเกิดภาวะฉุกเฉินภายในโรงพยาบาลทันตกรรม โดย อ.นพ.ทพ.สุรัตน์ แสงจินดา ในวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ชั้น 2 DT3227 ห้องเรียนบรรยาย (ห้องสโลป) โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

วันที่ 20 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ในภาคพลังงานของประเทศ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ศรินทร์ทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ

บันทึกความร่วมมือดังกล่าวฯ ให้ความสำคัญด้านการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสองในการศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศที่ต้องการการแก้ไขอย่างถูกต้องและรวดเร็วเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยภายใต้ MoU ฉบับนี้ ทั้งสองฝ่ายจะมีการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของโครงการตลอดระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี โดยในพิธีลงนามฯ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.วินิตา บุณโยดม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ และรองศาสตราจารย์วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมตะวัน กังวานพงศ์ อาคารยุทธศาสตร์ สำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ม.นเรศวร ร่วมกับ บพท. เปิดตัวโครงการวิจัย ‘แก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จในภาคเหนือตอนล่าง’

โครงการวิจัย “การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำภาคเหนือตอนล่าง: กรณีศึกษาจังหวัดพิษณุโลก” ซึ่งจัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับท้องถิ่น โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการศึกษาปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ยังสอดคล้องกับหลายเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้าน SDG 1 (การขจัดความยากจน), SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ), และ SDG 8 (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี)

1. แก้ไขปัญหาความยากจน: มุมมองจากโครงการวิจัย: การดำเนินโครงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนากลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายหลายด้าน ทั้งความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนทรัพยากร และขาดทักษะในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในพื้นที่ โดยมองปัญหาความยากจนในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเสริมสร้างทักษะ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, และการดูแลสุขภาพ

2. การสอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน: โครงการวิจัยนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับพื้นที่ผ่านการให้ความรู้และทักษะแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยหรือขาดโอกาสในการพัฒนาอาชีพและการศึกษา การพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำนั้น เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาความสามารถในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน การออกแบบแนวทางการแก้ไขความยากจนที่มีประสิทธิภาพนี้ เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน ซึ่งมุ่งหวังให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นและเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกัน

การพัฒนาในรูปแบบนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการศึกษา ทักษะการประกอบอาชีพ และแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสามารถนำไปสู่การยุติความยากจนในระดับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

3. การลดความเหลื่อมล้ำ: SDG 10: โครงการวิจัยนี้ยังเชื่อมโยงกับ SDG 10: ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมุ่งเน้นการลดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันในพื้นที่ การศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษาไม่เท่าเทียม การขาดทักษะทางวิชาชีพ หรือการขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, การดูแลสุขภาพ, การศึกษา และการมีงานทำ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในชุมชน

การสร้างโอกาสในการพัฒนาโดยการให้ความรู้และทักษะ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ จะช่วยลดช่องว่างเหล่านี้และทำให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและยั่งยืน

4. การเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: SDG 8: การวิจัยและผลลัพธ์จากโครงการนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยการออกแบบแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับทรัพยากรท้องถิ่นและความสามารถของชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเป็นการส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืนและการสร้างงานในชุมชน ถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น

การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพิงจากภายนอก และสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน SDG 8: การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี ได้รับการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับทรัพยากรในพื้นที่

5. บทบาทของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน: มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาหลักในภาคเหนือตอนล่าง มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและการพัฒนาในพื้นที่ ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ หัวหน้าโครงการวิจัย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลวิจัยที่มีความแม่นยำในการออกแบบนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยระบุว่า “การใช้วิจัยในเชิงลึกเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่ได้ดีขึ้น และสามารถออกแบบมาตรการที่ตรงกับความต้องการของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

การทำงานร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และการนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาใช้ในการพัฒนาชุมชน ถือเป็นการขับเคลื่อน SDG 17: การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย, หน่วยงานภาครัฐ, และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

โครงการวิจัยนี้จึงเป็นการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับบริบทท้องถิ่น ถือเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกด้าน

มหาวิทยาลัยนเรศวร ออกให้บริการรักษาทางทันตกรรมให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 หน่วยทันตกรรมพระราชทานฯ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ออกให้บริการรักษาทางทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิษณุโลก โดยมีผู้ต้องขังมารับการรักษาทางทันตกรรมจำนวน 554 ราย ซึ่งการให้บริการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือด้านการรักษาสุขภาพช่องปาก แต่ยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และ SDGs 10: การลดความเหลื่อมล้ำ

ในโครงการนี้ ทีมทันตแพทย์จากหน่วยทันตกรรมพระราชทานฯ ได้มุ่งเน้นการให้บริการรักษาทางทันตกรรมที่ครอบคลุมต่อผู้ต้องขัง ซึ่งรวมถึงการถอนฟัน 548 ราย และการผ่าฟันคุด 6 ราย โดยบริการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ต้องขังหลายราย ซึ่งแสดงความคิดเห็นว่ารู้สึกดีใจมากที่ได้รับการรักษาฟันจากคุณหมอ และบางคนยังแสดงความต้องการให้มีการจัดบริการด้านทันตกรรมในเรือนจำอย่างต่อเนื่อง

การให้บริการทันตกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาคุณภาพชีวิตของผู้คนในกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่อาจไม่ได้รับการดูแลทางทันตกรรมที่เพียงพอในชีวิตประจำวัน การให้บริการนี้ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพช่องปากที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม และช่วยลดความเจ็บปวดจากปัญหาฟันที่ไม่สามารถได้รับการรักษาตามปกติ

การให้บริการทันตกรรมนี้สอดคล้องกับ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการสุขภาพที่ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผู้ต้องขังเป็นกลุ่มคนที่มักไม่ได้รับการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพในทุกๆ ด้าน การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินโครงการนี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการทำให้การรักษาสุขภาพช่องปากมีความยั่งยืนและเข้าถึงทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับกลุ่มผู้ต้องขังที่บางครั้งไม่ได้รับความสนใจจากสังคมในด้านนี้

การให้บริการนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังมีสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อสิทธิพื้นฐานในการมีสุขภาพที่ดีของทุกคนในสังคม

อีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญที่โครงการนี้สนับสนุนคือ SDGs 10: การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมุ่งเน้นการลดช่องว่างและความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ รวมถึงการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โครงการนี้ช่วยให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้เข้าถึงบริการทันตกรรมอย่างมีคุณภาพ ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพระหว่างกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน

การให้บริการทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในครั้งนี้เป็นการช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่มีคุณภาพ เนื่องจากผู้ต้องขังมักจะเผชิญกับข้อจำกัดในการได้รับการรักษาจากสาธารณสุขที่มีอยู่ในระบบ การนำบริการทันตกรรมไปให้ถึงกลุ่มนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการของ SDGs 10 ในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยมุ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มคนที่อาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพเท่าเทียมกับกลุ่มอื่นๆ

ผลกระทบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับชุมชน โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการเสริมสร้างความเท่าเทียมในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มคนในสังคมที่มักถูกมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ต้องขังที่อาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสม โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพในขณะนั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ต้องขังสามารถกลับเข้าสู่สังคมด้วยสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบทางบวกในด้านจิตใจและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรและคณะทันตแพทยศาสตร์ได้ดำเนินการดังกล่าวยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษากับชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการนำความรู้และทักษะที่มีไปให้บริการแก่ผู้ที่มีความจำเป็นในชุมชน ส่งผลให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น

ม.นเรศวร ส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างโอกาสผู้ประกอบการผ่านพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการเรียนรู้และสร้างโอกาสในการเป็นผู้ประกอบการแก่ทั้งนิสิตและบุคลากร โดยมุ่งเน้นการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรทั้งภายในและต่างประเทศเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในด้านนี้อย่างยั่งยืน

ล่าสุด ดร.ปัญญวัณ ลำเพาพงศ์ รองผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมคณะ ได้เข้าร่วมกิจกรรม Knowledge Sharing ในโครงการ “การเรียนรู้จากประสบการณ์เพื่อเร่งการเป็นผู้ประกอบการจากสถาบันอุดมศึกษาร่วมกับเครือข่ายพันธมิตรระหว่างประเทศ” ณ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP) โดยได้รับเกียรติจากคุณพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจยุทธศาสตร์ สป.อว. กล่าวเปิดกิจกรรม พร้อมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)

กิจกรรมในครั้งนี้ได้เน้นการแบ่งปันประสบการณ์จากนักศึกษาที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงทั้งในประเทศ (Inbound) และต่างประเทศ (Outbound) ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะในการเป็นผู้ประกอบการในอนาคต พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างโอกาสในการจ้างงานอย่างยั่งยืน โดยความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้การเรียนรู้ด้านการทำธุรกิจสามารถขยายและพัฒนาได้ต่อเนื่องในระดับนานาชาติ

ม.นเรศวร วางแผนการดูแลด้านสุขภาพจิตนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร

ในวันที่ 29 มีนาคม 2567 กองกิจการนิสิตร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานดูแลสุขภาพจิตนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมี ดร.จรัสดาว คงเมือง รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิต ศิษย์เก่า และศิลปวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุม เพื่อทบทวนและพัฒนากระบวนการดูแลด้านสุขภาพจิตของนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของนิสิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพจิตของนิสิตอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะต่างๆ ให้กับนิสิตทั้งในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมายที่ 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDGs 3) และ เป้าหมายที่ 4: การส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพ (SDGs 4) ของการพัฒนาที่ยั่งยืน

การดูแลสุขภาพจิตของนิสิตเป็นหนึ่งในภารกิจที่มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญ เนื่องจากสุขภาพจิตที่ดีเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนให้นิสิตสามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ในปี 2567 นี้ มหาวิทยาลัยได้ริเริ่มจัดประชุมคณะกรรมการเพื่อทบทวนกระบวนการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและปรับปรุงกระบวนการดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของนิสิตในด้านการดูแลสุขภาพจิตได้ดียิ่งขึ้นและครอบคลุมทุกกลุ่ม

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการส่งเสริมสุขภาพจิตของนิสิต ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในสังคม โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของเยาวชนในสถาบันการศึกษา เพราะสุขภาพจิตที่ดีส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุกด้าน การดำเนินงานในครั้งนี้ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานิสิตทั้งในด้านการศึกษาและการใช้ชีวิต

การให้บริการด้านสุขภาพจิตที่มีคุณภาพในมหาวิทยาลัยนเรศวรมีบทบาทสำคัญในการช่วยนิสิตที่อาจเผชิญกับปัญหาความเครียด, ความวิตกกังวล, หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการศึกษา โดยการดูแลในรูปแบบต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษา การบำบัด และการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะการดูแลสุขภาพจิต ทั้งนี้จะช่วยให้นิสิตสามารถรับมือกับปัญหาทางจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ

ในขณะเดียวกัน, เป้าหมาย SDGs 4 ที่มุ่งส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต การส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้นิสิตสามารถปรับตัวในการเรียนได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้การศึกษาในมหาวิทยาลัยมีคุณภาพ โดยการให้การดูแลและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตช่วยลดปัญหาการขาดเรียนหรือผลการเรียนที่ต่ำลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต

การดูแลสุขภาพจิตในเชิงป้องกันและการให้คำปรึกษาแบบเชิงรุก เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตทั้งในขณะศึกษาและหลังสำเร็จการศึกษา ทำให้นิสิตมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปพร้อมกับการพัฒนาทางด้านวิชาการ

ความสำคัญของการทบทวนกระบวนการดูแลสุขภาพจิต การประชุมในครั้งนี้มีจุดประสงค์สำคัญในการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของนิสิตในปัจจุบัน โดยมีการจัดทำแผนงานและกิจกรรมต่างๆ ที่เน้นการดูแลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การพัฒนากระบวนการดูแลสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในการศึกษา รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการเรียนรู้

การประชุมในครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองกิจการนิสิตและโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างการดูแลสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต การบำบัดและดูแลอาการเครียดจากการเรียน หรือการพัฒนาทักษะการปรับตัวที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ การร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนานิสิต โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่อาจมีความเครียดและความท้าทายต่างๆ

ม.นเรศวร เสริมสร้างประชาธิปไตยและสังคมยุติธรรม ผ่านโครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต

มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในด้าน SDG 16 ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมสันติภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและโปร่งใส ในการนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินกิจกรรมที่สอดคล้องกับเป้าหมายดังกล่าว โดยการนำเสนอการศึกษาและการมีส่วนร่วมในการเสริมสร้างประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในสังคมไทย

หนึ่งในกิจกรรมที่สำคัญในการดำเนินงานด้าน SDG 16 คือการที่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภิสา ไวฑูรเกียรติ, คณบดีคณะสังคมศาสตร์ ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยนเรศวรเข้าร่วมพิธีเปิด โครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริตภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการเสริมสร้างสังคมที่ยุติธรรมและโปร่งใส ผ่านการมีส่วนร่วมของเยาวชนและประชาชน

ในโครงการนี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นภิสา ได้นำตัวแทนนิสิตจากคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรเข้าร่วมรับฟังบรรยายในหัวข้อ “บทบาทเยาวชนกับสื่อเพื่อประชาธิปไตย” โดยมี นายปดิพัทธ์ สันติภาดา, รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และ คุณฐปณีย์ เอียดศรีไชย, ผู้ประกาศข่าวภาคสนามรายการข่าว 3 มิติ ไทยทีวีสีช่อง 3 และเจ้าของเพจข่าว The Reporters ร่วมบรรยายเพื่อเสริมสร้างความรู้เกี่ยวกับบทบาทของเยาวชนและสื่อในกระบวนการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและโปร่งใส

นอกจากนี้ ผู้แทนจากมหาวิทยาลัยนเรศวรยังได้เข้าร่วมกิจกรรมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ Do and Don’t บนโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีความรับผิดชอบในการใช้สื่อออนไลน์เพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต และการร่วมกิจกรรม Interactive Workshop – Design Thinking ที่จัดโดย อาจารย์พองาม เหลี่ยมศิริวัฒนา, อดีตผู้ช่วยผู้อำนวยการวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยการทำเวิร์กช็อปนี้ช่วยพัฒนาทักษะการคิดเชิงออกแบบและวิธีการสร้างสรรค์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาของสังคมและประเทศชาติ

กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นในวันศุกร์ที่ 8 มีนาคม 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ ศูนย์วัฒนธรรมภาคเหนือตอนล่าง วังจันทร์ ริเวอร์วิว มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก โดยมี คณะกรรมการบริหารโครงการเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้จัดการ

การดำเนินกิจกรรมในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนภายใต้ SDG 16 โดยการเสริมสร้างเยาวชนและชุมชนให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตย และการใช้สื่อออนไลน์อย่างมีสติและรับผิดชอบ เพื่อสร้างสังคมที่ยุติธรรม โปร่งใส และยั่งยืนในอนาคต

ม.เรศวร จัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในมหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 มหาวิทยาลัยนเรศวรได้จัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของคณะเภสัชศาสตร์ และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น กองกิจการนิสิต และบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเลิกบุหรี่ในสังคมมหาวิทยาลัย โดยมี ผศ.ดร.จรูญ สารินทร์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร

การรณรงค์เลิกบุหรี่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่ทั้งในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโทษของการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าที่มีต่อร่างกาย รวมไปถึงการให้ความรู้และแนวทางในการเลิกสูบบุหรี่ให้แก่ผู้ที่ต้องการเลิก ทั้งนี้การดำเนินกิจกรรมได้รับการสนับสนุนจาก ผศ.ดร.ภญ.ชวนชม ธนานิธิศักดิ์, ดร.ภญ.วรรณา ตั้งภักดีรัตน์, และ ผศ.ไชยวัฒน์ ไชยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกิจกรรมในครั้งนี้ โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นนิสิตหรือบุคลากรของมหาวิทยาลัย

กิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วยหลากหลายกิจกรรมที่ทั้งให้ความรู้และกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่ดีต่อสุขภาพของตนเอง ได้แก่:

  1. การให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า: เป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผลเสียต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ โดยเน้นย้ำถึงอันตรายของนิโคตินที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจและอวัยวะอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
  2. การจัดโซนให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจเลิกบุหรี่: ในโซนนี้จะมีการให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการเลิกบุหรี่ โดยการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากคณะเภสัชศาสตร์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพและการเลิกบุหรี่
  3. การเล่นเกมตอบคำถามหลังจากให้ความรู้: เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีส่วนร่วม ผู้เข้าร่วมสามารถตอบคำถามหลังจากฟังการบรรยายเกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่และเทคนิคในการเลิกบุหรี่
  4. การตัดสติกเกอร์ที่รูปปอดเพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความอยากสูบบุหรี่: กิจกรรมนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประเมินความต้องการของตนเองในการสูบบุหรี่และสามารถรับรู้ถึงผลกระทบของการสูบบุหรี่ที่มีต่อร่างกาย
  5. การประเมินสมรรถนะปอดและการใช้ชุดทดสอบนิโคติน: สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องการทราบถึงผลกระทบจากการสูบบุหรี่ จะมีการทดสอบสมรรถภาพปอด และใช้ชุดทดสอบนิโคตินเพื่อตรวจสอบระดับของสารนิโคตินในร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่มากน้อยเพียงใด
  6. การสัมภาษณ์นิสิตและบุคลากรในพื้นที่จัดกิจกรรม: กิจกรรมนี้เป็นการสัมภาษณ์ความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้ที่เข้าร่วมเกี่ยวกับการสูบบุหรี่และแนวทางการเลิกบุหรี่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จัดกิจกรรมได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงกิจกรรมในครั้งถัดไป

กิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ในครั้งนี้สอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่และการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม การรณรงค์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เน้นการเลิกบุหรี่ในหมู่นิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย แต่ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้แก่ชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัยอีกด้วย

การสนับสนุนให้ผู้คนเลิกสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังช่วยลดภาระการรักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

การจัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมถึงคณะเภสัชศาสตร์, กองกิจการนิสิต และบุคลากรที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แก่ชุมชนมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลสุขภาพทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ โดยการให้ความรู้และสนับสนุนในการเลิกสูบบุหรี่

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin