ม.นเรศวรได้รับการประเมิน ‘4 ดาว’ จาก Healthy University Rating System 2023 สะท้อนความสำเร็จในการส่งเสริมสุขภาพและสุขภาพจิตในมหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยนเรศวรได้รับการประเมินในระดับ 4 ดาว จาก เครือข่ายมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพแห่งอาเซียน (ASEAN University Network – Health Promotion Network – AUN-HPN) ภายใต้เกณฑ์ Healthy University Rating System (HURS) ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสำเร็จในการดำเนินงานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการส่งเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย โดยการได้รับรางวัลในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสุขภาพของนักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 3: Good Health and Well-Being) ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรตั้งใจให้ความสำคัญมาโดยตลอด

การได้รับการประเมินเป็น “มหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับ 4 ดาว” นี้ เป็นรางวัลที่มีความหมายสูงและสะท้อนถึงการดำเนินงานที่ต่อเนื่องในการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของทั้งนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในแคมปัสของมหาวิทยาลัยนเรศวร

การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ในโอกาสที่ได้รับการประเมินนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถกร ทองทา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการเข้าร่วม การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคม 2567ห้องราชมณเฑียร แกรนด์ บอลรูม โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร

ในการประชุมวิชาการครั้งนี้ ได้มีการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสร้างสภาพแวดล้อมการศึกษาและการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นการส่งเสริม SDG 3 (Good Health and Well-being) โดยการจัดการประชุมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการสร้างเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัยทั้งในระดับประเทศและในภูมิภาคอาเซียน โดยมีการนำเสนอแนวทางและกลยุทธ์ในการส่งเสริมสุขภาพของทั้งนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย.

ความสำคัญของการได้รับรางวัล “Healthy University Rating System (HURS) 2023” การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้รับการประเมินเป็น “มหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับ 4 ดาว” ตามเกณฑ์ Healthy University Rating System (HURS) ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในการสร้าง “วัฒนธรรมการส่งเสริมสุขภาพ” ภายในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพจิตของนักศึกษา การส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพ และการจัดการสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยให้เอื้อต่อการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพ

การได้รับรางวัลนี้สะท้อนถึงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการมุ่งมั่นในการสร้างมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสุขภาพให้กับนักศึกษาและบุคลากร โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการมีสุขภาพดีในทุกมิติ ทั้งกายและจิต รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีสุขภาพที่ดีและสามารถทำงานหรือเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การส่งเสริมสุขภาพในระดับมหาวิทยาลัย รางวัล 4 ดาว จาก Healthy University Rating System (HURS) เป็นเครื่องหมายของการยอมรับในความพยายามของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาแคมปัสให้เป็น “มหาวิทยาลัยสุขภาพ” ที่มีการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพในทุกด้าน ทั้งในเรื่องของ การดูแลสุขภาพจิต การสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ การจัดกิจกรรมที่สนับสนุนการออกกำลังกายและการดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพดี

สิ่งนี้สอดคล้องกับ SDG 3 ซึ่งมุ่งเน้นให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและส่งเสริมการดูแลสุขภาพจิตในทุกๆ ชุมชน รวมถึงมหาวิทยาลัย เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ในระยะยาวที่ทั้งนักศึกษาและบุคลากรสามารถมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและยั่งยืน

การร่วมมือในระดับชาติและภูมิภาค (SDG 17) การได้รับการประเมินในระดับนี้ยังเป็นการแสดงถึง ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัย ในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SDG 17 (Partnerships for the Goals) ที่มีเป้าหมายในการสร้างพันธมิตรทางการศึกษาและวิจัยที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกๆ ด้าน.

การที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้รับการประเมินเป็น “มหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับ 4 ดาว” จาก Healthy University Rating System (HURS) แสดงถึงความสำเร็จในด้านการส่งเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย และการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแคมปัสที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีทั้งทางกายและจิต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 3 (Good Health and Well-Being) และ SDG 17 (Partnerships for the Goals) ในการสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระบบสุขภาพในระดับมหาวิทยาลัยและภูมิภาค.

ม.นเรศวร เข้าร่วมประชุมวิชาการสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 และรับรางวัล Healthy University Rating System 2023 ระดับ 4 ดาว

เมื่อวันที่ 21-22 มีนาคม 2567 คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ รศ.ดร.นิทรา กิจธีระวุฒิวงษ์ พร้อมด้วย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ ดร.รมย์นลิน เขียนจูม ได้เข้าร่วม การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ เครือข่าย Thai University Network – Health Promotion Network (TUN-HPN) ในหัวข้อสำคัญ “Building a Culture of Health Promotion: Fostering Mental Health Awareness and Support on Campus” ณ ห้องราชมณเฑียร แกรนด์ บอลรูม โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ

การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการ ส่งเสริมสุขภาพ ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของ สุขภาพจิต โดยเฉพาะในกลุ่มนิสิตและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาแนวทางการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในแคมปัส โดยมีการแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทยและอาเซียนที่มีส่วนร่วมในเครือข่าย.

การจัดงานประชุมวิชาการในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และจัดขึ้นโดย สำนักงานเลขาธิการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (ASEAN University Network-Health Promotion Network AUN-HPN) ภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยแกนนำในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนาศักยภาพด้านการสร้างเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการของเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและอาเซียน

หัวข้อสำคัญของการประชุมในปีนี้ คือ “การสร้างวัฒนธรรมการส่งเสริมสุขภาพ: การส่งเสริมความตระหนักและการสนับสนุนสุขภาพจิตในแคมปัส” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตในชุมชนมหาวิทยาลัย การสร้างพื้นที่ปลอดภัยและสนับสนุนด้านจิตใจสำหรับนักศึกษาและบุคลากรถือเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDG 3 (Good Health and Well-being) ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนมีสุขภาพดีและการดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสุขภาพในระดับสากล โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการพูดถึงแนวทางการปรับปรุงนโยบายและการนำเสนอแผนงานที่สามารถส่งเสริมสุขภาพจิตในหมู่นักศึกษาและบุคลากรในสถาบันการศึกษาอย่างยั่งยืน

ในงานนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้รับเกียรติในการรับ รางวัล Healthy University Rating System (HURS) 2023 ในระดับ 4 ดาว ซึ่งถือเป็นการยอมรับถึงความสำเร็จในการส่งเสริมสุขภาพและการดูแลความเป็นอยู่ของนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย คณะสาธารณสุขศาสตร์และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมแสดงความยินดีและขอแสดงความขอบคุณทีมงานที่ทำงานร่วมกันจนสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญนี้ได้ โดย รศ.ดร.อรรถกร ทองทา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นตัวแทนในการรับมอบรางวัลดังกล่าว

การได้รับ รางวัล Healthy University Rating System (HURS) ในระดับ 4 ดาว นั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการดำเนินงานเพื่อสร้าง ชุมชนสุขภาพ ที่ดีและยั่งยืนในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพจิต การส่งเสริมสุขภาพกาย และการสนับสนุนในด้านการพัฒนาแหล่งทรัพยากรมนุษย์ที่มีสุขภาพดี การพัฒนานี้สามารถส่งผลบวกต่อทั้งนิสิตและบุคลากรในระยะยาว

นอกจากนี้ รางวัลนี้ยังเป็นการยืนยันถึงความร่วมมือในระดับ SDGs 17 (Partnerships for the Goals) ซึ่งเน้นการสร้างพันธมิตรและความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องในทุกๆ ปี.

การเข้าร่วม ประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ของเครือข่าย TUN-HPN และการได้รับรางวัล Healthy University Rating System (HURS) 2023 ในระดับ 4 ดาว ของมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จในด้านการส่งเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย ทั้งในด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 3 และ SDG 17 นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการสร้าง พันธมิตรทางวิชาการและการร่วมมือระหว่างประเทศ ในการพัฒนาสุขภาพของนักศึกษาและบุคลากรในระดับสากล.

ม.นเรศวร ลงนาม MOU ร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ AACI ส่งเสริมมาตรฐาน GHA เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 รศ.ดร.ศรินทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ (AACI) โดยมี ผศ.พญ.พิริยา นฤขัตรพิชัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์, นพ.สมพร คำผง กรรมการบริหารสถาบัน AACI, รองประธานอาวุโส AACI อเมริกา และคุณเรวัต เด่นจักรวาฬ กรรมการผู้จัดการ AACI เอเชียแปซิฟิก ร่วมลงนามในครั้งนี้ ณ บริเวณโถงชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 2

วัตถุประสงค์ของการจัดโครงการ โครงการสัมมนามาตรฐานภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ (AACI) และการลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมให้ผู้บริหารและบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงผู้บริหารจากคณะอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน GHA (Global Health Accreditation) และ AACI (Asian Association for Clinical Improvement) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ

การลงนามใน MOU ครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวรและภาคีเครือข่ายต่างๆ เช่น GHA, AACI และ Planetree ในการพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับบริการทางการแพทย์และสุขภาพในมหาวิทยาลัยนเรศวรและชุมชนในระดับประเทศ

กิจกรรมภายในโครงการ โครงการสัมมนาครั้งนี้มีการจัดอบรมเพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์ ได้เรียนรู้ถึงมาตรฐาน AACI และ GHA ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น การปรับปรุงกระบวนการทำงานของโรงพยาบาล การยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วย และการสร้างความยั่งยืนในระบบบริการสุขภาพ

นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดข้อมูลและแนวทางการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพผ่านการอบรมออนไลน์ทาง Zoom Meeting ซึ่งมีผู้บริหารและบุคลากรจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงคณะอื่นๆ และบุคลากรสายสนับสนุนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 150 คน

ความสำคัญและการส่งเสริม SDGs 3 และ 17 การลงนาม MOU และการจัดสัมมนาครั้งนี้สอดคล้องกับ SDG 3: การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและการพัฒนาบริการทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพที่สามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับ SDG 17: การสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ซึ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยการลงนามข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวรและภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อการพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพในระยะยาว

การลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) นี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการบริการสุขภาพและส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญในวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของมหาวิทยาลัยนเรศวร.

ม.นเรศวร สำรวจโซเดียมในอาหารมหาวิทยาลัย ชูแนวทางลดความเสี่ยงโรคจากการบริโภคอาหารรสเค็ม

ในวันที่ 18 มีนาคม 2567 หน่วยเวชปฏิบัติชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์และกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรได้จัดกิจกรรมสำรวจปริมาณโซเดียมในอาหาร โดยใช้เครื่องวัดความเค็ม (Salt Meter) เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในพื้นที่มหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDG 2 (การยุติความหิวโหย) และ SDG 3 (การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) รวมถึงการสร้างความร่วมมือในระดับภาคีเครือข่ายตาม SDG 17 (การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนา)

รายละเอียดการดำเนินการ กิจกรรมสำรวจในครั้งนี้มุ่งเน้นการประเมินระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในโรงอาหารและร้านค้ารอบมหาวิทยาลัย โดยทำการสำรวจอาหารในโรงอาหารของหอพักมหาวิทยาลัยจำนวน 12 ร้านค้า และเมนูอาหาร 13 ชนิด พบว่าอาหารที่มีระดับความเค็มน้อยมีจำนวน 9 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 69.23 ของตัวอย่างทั้งหมด อาหารที่มีระดับความเค็มมาก พบว่า 3 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 23.08 และอาหารที่มีความเค็มในระดับเริ่มเค็ม พบว่า 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 7.69

นอกจากนี้ ยังได้สำรวจร้านค้ารอบมหาวิทยาลัยนเรศวรจำนวน 10 ร้านค้า เมนูอาหารทั้งหมด 10 ชนิด พบว่าอาหารที่มีความเค็มน้อยมีจำนวน 5 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 50 อาหารที่เริ่มเค็มมีจำนวน 4 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 40 และอาหารที่เค็มมากพบว่า 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 10

การแนะนำและส่งเสริมการลดโซเดียมในอาหาร ในกระบวนการสำรวจครั้งนี้ ทีมงานได้ให้คำแนะนำแก่ร้านค้าเกี่ยวกับการลดปริมาณเครื่องปรุงรสในอาหาร โดยเฉพาะการลดการใช้น้ำปลาและเกลือ ซึ่งเป็นแหล่งของโซเดียมที่สำคัญ คำแนะนำดังกล่าวมุ่งเน้นที่การสร้างสมดุลในการปรุงรส เพื่อให้รสชาติยังคงอร่อย แต่ลดปริมาณโซเดียมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ ทีมงานยังได้ติดสติกเกอร์แสดงข้อมูลเกี่ยวกับระดับความเค็มของอาหารสำหรับร้านค้าที่มีเมนูอาหารเค็มน้อยจำนวน 14 ร้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำและดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น การติดสติกเกอร์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงปริมาณโซเดียมในอาหาร แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าปรับปรุงการใช้เครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ผลกระทบและการยกระดับคุณภาพชีวิต การลดปริมาณโซเดียมในอาหารส่งผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมสูง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต การลดปริมาณโซเดียมในอาหารจึงเป็นการส่งเสริมสุขภาพที่ยั่งยืนในระดับบุคคลและสังคม อีกทั้งยังช่วยลดภาระด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคในระยะยาว

การสำรวจและการให้คำแนะนำนี้ยังช่วยเพิ่มการตระหนักรู้ในกลุ่มนิสิตและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับผลกระทบของโซเดียมต่อสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมต่ำจะส่งผลให้ชุมชนมหาวิทยาลัยนเรศวรมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นและมีสุขภาพที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

การเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กิจกรรมการสำรวจโซเดียมในอาหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับ SDG 2 (การยุติความหิวโหย) ในการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังเชื่อมโยงกับ SDG 3 (การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) ซึ่งมุ่งเน้นการลดการบริโภคโซเดียมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ การส่งเสริมให้มีการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคที่สามารถป้องกันได้

นอกจากนี้ การลงมือร่วมมือกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์และกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังสะท้อนถึง SDG 17 (การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนา) โดยการร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชน

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

วันที่ 20 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจก ในภาคพลังงานของประเทศ ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ศรินทร์ทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ

บันทึกความร่วมมือดังกล่าวฯ ให้ความสำคัญด้านการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยทั้งสองในการศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานของประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเร่งด่วนของประเทศที่ต้องการการแก้ไขอย่างถูกต้องและรวดเร็วเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม โดยภายใต้ MoU ฉบับนี้ ทั้งสองฝ่ายจะมีการประสานงาน แลกเปลี่ยนข้อมูล และร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนข้อมูลที่เกี่ยวข้องรวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานของโครงการตลอดระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี โดยในพิธีลงนามฯ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ประเสริฐ ฤกษ์เกรียงไกร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รองศาสตราจารย์ ดร.วินิตา บุณโยดม รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.สัญชัย จตุรสิทธา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ และรองศาสตราจารย์วงกต วงศ์อภัย รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วย ผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามฯ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2567 ณ ห้องประชุมตะวัน กังวานพงศ์ อาคารยุทธศาสตร์ สำนักงานมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

สถาบันวิจัยพหุศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ม.นเรศวร ร่วมกับ บพท. เปิดตัวโครงการวิจัย ‘แก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จในภาคเหนือตอนล่าง’

โครงการวิจัย “การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำภาคเหนือตอนล่าง: กรณีศึกษาจังหวัดพิษณุโลก” ซึ่งจัดโดย หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับท้องถิ่น โครงการนี้มีเป้าหมายสำคัญในการศึกษาปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งมีความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ซับซ้อน โครงการนี้ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ แต่ยังสอดคล้องกับหลายเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้าน SDG 1 (การขจัดความยากจน), SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ), และ SDG 8 (การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี)

1. แก้ไขปัญหาความยากจน: มุมมองจากโครงการวิจัย: การดำเนินโครงการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายหลักในการพัฒนากลยุทธ์การแก้ไขปัญหาความยากจนในภาคเหนือตอนล่าง โดยเฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความท้าทายหลายด้าน ทั้งความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนทรัพยากร และขาดทักษะในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน การศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาความยากจนในครั้งนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนานโยบายและกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงในพื้นที่ โดยมองปัญหาความยากจนในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา การเสริมสร้างทักษะ และการเข้าถึงบริการพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, และการดูแลสุขภาพ

2. การสอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน: โครงการวิจัยนี้มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับพื้นที่ผ่านการให้ความรู้และทักษะแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยหรือขาดโอกาสในการพัฒนาอาชีพและการศึกษา การพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จและแม่นยำนั้น เป็นการช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้ชุมชนสามารถพัฒนาความสามารถในการสร้างรายได้อย่างยั่งยืน การออกแบบแนวทางการแก้ไขความยากจนที่มีประสิทธิภาพนี้ เป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDG 1: การขจัดความยากจน ซึ่งมุ่งหวังให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นและเข้าถึงโอกาสที่เท่าเทียมกัน

การพัฒนาในรูปแบบนี้จะช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงการศึกษา ทักษะการประกอบอาชีพ และแหล่งทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งสามารถนำไปสู่การยุติความยากจนในระดับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

3. การลดความเหลื่อมล้ำ: SDG 10: โครงการวิจัยนี้ยังเชื่อมโยงกับ SDG 10: ลดความเหลื่อมล้ำ โดยมุ่งเน้นการลดช่องว่างระหว่างกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแตกต่างกันในพื้นที่ การศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านต่าง ๆ เช่น การศึกษาไม่เท่าเทียม การขาดทักษะทางวิชาชีพ หรือการขาดแคลนโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานที่จำเป็น เช่น น้ำ, พลังงาน, การดูแลสุขภาพ, การศึกษา และการมีงานทำ เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในชุมชน

การสร้างโอกาสในการพัฒนาโดยการให้ความรู้และทักษะ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา และการเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ต่าง ๆ จะช่วยลดช่องว่างเหล่านี้และทำให้ทุกคนสามารถมีชีวิตที่มีคุณภาพและมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมถือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่ยุติธรรมและยั่งยืน

4. การเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืน: SDG 8: การวิจัยและผลลัพธ์จากโครงการนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง โดยการออกแบบแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับทรัพยากรท้องถิ่นและความสามารถของชุมชน การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเป็นการส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืนและการสร้างงานในชุมชน ถือเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนในระดับท้องถิ่น

การวิจัยนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของชุมชนท้องถิ่น แต่ยังช่วยให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดการพึ่งพิงจากภายนอก และสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน SDG 8: การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการทำงานที่ดี ได้รับการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมกับทรัพยากรในพื้นที่

5. บทบาทของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน: มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาหลักในภาคเหนือตอนล่าง มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการวิจัยและการพัฒนาในพื้นที่ ศาสตราจารย์ ดร.จิรวัฒน์ พิระสันต์ หัวหน้าโครงการวิจัย ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลวิจัยที่มีความแม่นยำในการออกแบบนโยบายการแก้ไขปัญหาความยากจน โดยระบุว่า “การใช้วิจัยในเชิงลึกเป็นเครื่องมือในการพัฒนาที่ยั่งยืน จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาความยากจนในแต่ละพื้นที่ได้ดีขึ้น และสามารถออกแบบมาตรการที่ตรงกับความต้องการของชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

การทำงานร่วมกับ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) และการนำองค์ความรู้ทางวิชาการมาใช้ในการพัฒนาชุมชน ถือเป็นการขับเคลื่อน SDG 17: การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย, หน่วยงานภาครัฐ, และภาคเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

โครงการวิจัยนี้จึงเป็นการนำวิจัยและนวัตกรรมมาใช้ในการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับบริบทท้องถิ่น ถือเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกด้าน

ประชุมวิชาการ The 8th TICC Thailand International College Consortium International Conference 2024

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 รองศาสตราจารย์ ดร.สิริมาส เฮงรัศมี ผู้อำนวยการวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.ศศิมา เจริญกิจ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการและวิจัย ร่วมด้วยคณาจารย์และหัวหน้างานบริการวิชาการและวิจัย วิทยาลัยนานาชาติ เข้าร่วมพิธีเปิดงานประชุมวิชาการ The 8th TICC Thailand International College Consortium International Conference 2024 (8th# TICC 2024) ในหัวข้อ “Integrating Perspectives from Different Disciplines for Current and Emerging Society Needs towards Sustainable Development Goals (SDGs)”

     โดยวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการฯ ร่วมกับเครือข่ายวิทยาลัยนานาชาติแห่งประเทศไทยจำนวน 8 แห่ง ได้แก่ International College, Khon Kaen University; Faculty of International Studies, Prince of Songkla University, Phuket Campus; and Naresuan University International College. Burapha University International College; Prince of Songkla University International College, Hat Yai Campus; International College for Sustainability Studies, Srinakharinwirot University; Chiang Mai University Digital Innovation International College; and Silpakorn University International College.

     ในการนี้ Mr. Andris Adhitra อาจารย์ประจำสาขาวิชาการจัดการอีเวนต์ โรงแรม และการท่องเที่ยว วิทยาลัยนานาชาติ  B.B.A. Program in Event, Hotel and Tourism Management (EHTM)  ได้รับรางวัล “Best Paper Award” จากหัวข้อวิจัย “Visit Intention of Indonesia Tourists to Thailand in Post-Covid 19 Crisis” ภายในงานประชุมวิชาการครั้งนี้ด้วย โดยงานจัดขึ้น ณ โรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา, กรุงเทพมหานคร

รับสมัคร นักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล ทุน กสศ. ปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 ทุน

มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดรับสมัครนักศึกษาสำหรับ หลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล (PNNU) รุ่นที่ 15 สำหรับปีการศึกษา 2566 จำนวน 40 ทุน โดยมอบ ทุนการศึกษาเรียนฟรี 1 ปี พร้อมทั้งมี เงินเดือนให้ระหว่างการเรียน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่มีความสนใจในการประกอบอาชีพผู้ช่วยพยาบาล และต้องการได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษา โดยเฉพาะผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีความตั้งใจและผลการเรียนที่ดี

ส่งเสริม SDG 4: การศึกษาที่มีคุณภาพ

ทุนการศึกษานี้เป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้าง SDG 4 หรือ การศึกษาที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ มหาวิทยาลัยนเรศวรตระหนักถึงความสำคัญของการให้โอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพแก่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่มีความต้องการสูงในตลาดแรงงาน การให้ทุนการศึกษานี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับนักศึกษาที่มีฐานะยากจน แต่ยังเป็นการพัฒนาทักษะและความสามารถในการทำงานที่มีคุณภาพ ซึ่งจะมีผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้เรียนและชุมชนในระยะยาว

สร้างโอกาสและลดความเหลื่อมล้ำ SDG 10: ลดความเหลื่อมล้ำ

ทุนการศึกษานี้ยังสอดคล้องกับ SDG 10 หรือ ลดความเหลื่อมล้ำ โดยการให้โอกาสทางการศึกษากับกลุ่มนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีความสามารถและตั้งใจจะเรียนรู้และพัฒนาทักษะในสาขาวิชาชีพที่มีความสำคัญต่อสังคม เช่น อาชีพผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นอาชีพที่ขาดแคลนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในโรงพยาบาลและหน่วยงานด้านสาธารณสุข การให้ทุนการศึกษานี้ไม่เพียงแต่ลดความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา แต่ยังช่วยเสริมสร้างอาชีพที่มั่นคงให้กับผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้พวกเขามีโอกาสทางการงานที่ดีขึ้น และสามารถยกระดับชีวิตทางเศรษฐกิจและสังคมได้

ข้อมูลและคุณสมบัติของผู้สมัคร

ทุนการศึกษานี้เปิดรับสมัครสำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมีผลการเรียนดี ซึ่งตรงกับวัตถุประสงค์ของการขับเคลื่อน SDG 10 ในการลดช่องว่างทางสังคมและเศรษฐกิจ โดยให้โอกาสแก่นักศึกษาที่มีศักยภาพแต่ขาดแคลนทรัพยากรในการศึกษาต่อในระดับสูงได้มีโอกาสศึกษาต่อและพัฒนาทักษะในอาชีพผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความต้องการสูงในภาคการแพทย์และการสาธารณสุข

ผู้สมัครต้องเป็นผู้ที่รักในอาชีพผู้ช่วยพยาบาลและมีความตั้งใจที่จะพัฒนาตนเองในสายอาชีพนี้ โดยการเข้าศึกษาในหลักสูตรที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในวงการการแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนมีความสามารถในการทำงานได้อย่างมีคุณภาพและตอบสนองความต้องการของสังคม

การเสริมสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 17: การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน

ทุนการศึกษานี้ยังเป็นตัวอย่างของการสร้างพันธมิตรที่สำคัญระหว่างมหาวิทยาลัย, นักศึกษา, และหน่วยงานต่าง ๆ ในการขับเคลื่อนการศึกษาและการพัฒนาที่ยั่งยืน มหาวิทยาลัยนเรศวรร่วมมือกับ กองทุนส่งเสริมการศึกษาและพัฒนาคุณภาพชีวิต (กสศ.) ในการให้ทุนการศึกษานี้ ซึ่งเป็นการสร้างพันธมิตรเพื่อสนับสนุนการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพ โดยไม่แบ่งแยกทางเศรษฐกิจและสังคม

ทุนการศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้ช่วยพยาบาล ของมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาอาชีพที่มีคุณภาพและยั่งยืนให้กับผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีความตั้งใจและพร้อมที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองในสาขาอาชีพที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสังคม การมอบทุนการศึกษานี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพและสามารถพัฒนาทักษะเพื่อรองรับตลาดแรงงานที่ต้องการความสามารถในด้านการแพทย์และสาธารณสุข

โครงการนี้จึงเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน SDG 4 และ SDG 10 โดยให้โอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพแก่ผู้ที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และสร้างความเท่าเทียมในสังคม รวมถึงการสร้างอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับผู้เรียนในอนาคต.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ผ่านทาง Line OA : https://lin.ee/e6DDQaJ หรือ Line OA: @694nsyob
ติดตามข่าวสารผ่านเพจ หลักสูตรผู้ช่วยพยาบาล ม.นเรศวร PNNU >> https://web.facebook.com/profile.php?id=100090172741425
เข้าไปสมัครด่วนเลยจ้าหรือติดตามข้อมูลได้ที่เว๊บไซต์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ความร่วมมือกับสถาบันสุขภาพ เพื่อปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

มหาวิทยาลัยนเรศวรมุ่งมั่นในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในด้านการศึกษา, การวิจัย และการให้บริการแก่สังคม โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3 (การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) และ SDGs 17 (การเสริมสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) การร่วมมือระหว่างคณะเภสัชศาสตร์ สถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน (ร้านยา) และสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (COSNAT) ในงาน MED NU Health Expo 2024 ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมสำคัญที่มหาวิทยาลัยนเรศวรจัดขึ้น เพื่อสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพและสนับสนุนการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพแก่ประชาชน

งาน MED NU Health Expo 2024 เป็นมหกรรมสุขภาพที่จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปี แห่งการก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ภายใต้หัวข้อ “Health Festival: Creating a Healthier Society” ซึ่งเน้นการสร้างสังคมที่มีสุขภาพดี ผ่านการนำเสนอข้อมูลและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและการส่งเสริมการมีชีวิตที่ดีขึ้นในทุกด้าน โดยงานนี้ได้มีการร่วมมือจากหลายหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงคณะเภสัชศาสตร์, สถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน (ร้านยา) และสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (COSNAT)

กิจกรรมที่คณะเภสัชศาสตร์จัดขึ้นในงาน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ร่วมออกบูธในงาน MED NU Health Expo 2024 โดยมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งให้บริการแก่ประชาชนและส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมและสมุนไพรอย่างถูกต้อง ซึ่งกิจกรรมที่จัดขึ้น ได้แก่:

  1. การให้คำปรึกษาด้านยา ทีมเภสัชกรจากคณะเภสัชศาสตร์ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาอย่างปลอดภัย รวมถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการใช้ยาสมุนไพรต่างๆ โดยเน้นที่การใช้สมุนไพรในชีวิตประจำวันเพื่อสุขภาพที่ดีและป้องกันโรค
  2. การให้ความรู้ด้านสมุนไพรและธาตุเจ้าเรือน ในงานมีการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรไทยและการใช้ธาตุเจ้าเรือน ซึ่งเป็นการนำภูมิปัญญาพื้นบ้านมาผสมผสานกับวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติในการดูแลสุขภาพ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
  3. การเผยแพร่ผลงานวิจัยและนวัตกรรมของคณะเภสัชศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ได้แสดงผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพของประชาชน เช่น ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรมและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการพัฒนายาและเครื่องสำอางที่มีคุณภาพ
  4. การจัดนิทรรศการผลงานผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ คณะเภสัชศาสตร์ได้จัดนิทรรศการที่นำเสนอผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ได้รับการวิจัยและพัฒนา โดยใช้ส่วนผสมจากสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติในการดูแลผิวพรรณและสุขภาพ เช่น สบู่สมุนไพร, ครีมบำรุงผิวจากสมุนไพร, และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มาจากธรรมชาติ
  5. การประชาสัมพันธ์งานบริการวิชาการเชิงพาณิชย์ของสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (COSNAT) สถานวิจัย COSNAT ของคณะเภสัชศาสตร์ได้ใช้โอกาสนี้ในการประชาสัมพันธ์งานบริการวิชาการเชิงพาณิชย์ที่เปิดให้บริการแก่ผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไปที่สนใจในการพัฒนาและทดสอบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ รวมถึงการให้บริการวิจัยและทดสอบคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์เพื่อรับรองคุณภาพและมาตรฐาน

การเชื่อมโยงกับ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การจัดงาน MED NU Health Expo 2024 โดยคณะเภสัชศาสตร์มีความสอดคล้องกับ SDGs 3 ในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี โดยเฉพาะการให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างปลอดภัยและสมุนไพรในการรักษาสุขภาพอย่างยั่งยืน งานนี้ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพด้วยวิธีธรรมชาติและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากการวิจัยและพัฒนาอย่างมีมาตรฐาน

การเชื่อมโยงกับ SDGs 17: การเสริมสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การร่วมมือกันระหว่างคณะเภสัชศาสตร์, สถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน, และสถานวิจัยเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (COSNAT) ในการจัดกิจกรรมในงาน MED NU Health Expo 2024 ยังเป็นการเสริมสร้าง SDGs 17 ในการสร้างพันธมิตรระหว่างสถาบันการศึกษา, ภาครัฐ, และภาคประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน การแลกเปลี่ยนความรู้, การเผยแพร่ผลการวิจัย, และการสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเป็นการสร้างเครือข่ายที่มีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเพื่อสุขภาพที่ดีในสังคม

คณะพยาบาลศาสตร์ ม.นเรศวร จัดประชุมวิชาการนานาชาติ ‘Trends in Food and Herbs for Health and Well Being’ เสริมความรู้ด้านสมุนไพรและอาหารเพื่อสุขภาพ

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติในหัวข้อ “Trends in Food and Herbs for Health and Well Being” ภายใต้โครงการวิจัย “NU World Class: Food and Herb for Health and Beauty” ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.เภสัชกรหญิงกรกนก อิงคนินันท์ รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิด ซึ่งงานนี้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักวิจัยและผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศ

การประชุมวิชาการในครั้งนี้มีการเข้าร่วมทั้งในรูปแบบ ONSITE (ที่โรงแรม Mayflower Grande Hotel พิษณุโลก) และ ONLINE ผ่านระบบ Zoom ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมจำนวน 100 คน ได้ร่วมฟังการบรรยายจากวิทยากรระดับนานาชาติและระดับชาติในหัวข้อที่หลากหลาย และเกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพ การวิจัยด้านอาหารและสมุนไพร รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพโดยการใช้สมุนไพรและอาหารที่มีประโยชน์

โครงการวิจัยนี้มีการสนับสนุนโดย สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) และได้รับการนำเสนอโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมศักดิ์ โทจำปา อาจารย์ประจำภาควิชาพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งโครงการนี้มีเป้าหมายในการศึกษาและเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ อาหารและสมุนไพร เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความงามในด้านต่าง ๆ เช่น การป้องกันโรคและการบำรุงร่างกาย

โดยเฉพาะในด้าน การส่งเสริมสุขภาพ (SDG 3) และ การลดความยากจนและความไม่เท่าเทียม (SDG 2, 10) ผ่านการส่งเสริมการใช้สมุนไพรและอาหารที่มีประโยชน์จากธรรมชาติ ซึ่งสามารถช่วยเสริมสร้างความเป็นอยู่ที่ดีในชุมชนและเพิ่มความรู้ในด้านสุขภาพที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย

ในระหว่างการประชุมวิชาการมีการบรรยายในหัวข้อต่าง ๆ โดยวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเนื้อหาที่นำเสนอมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมสุขภาพและการใช้ อาหารและสมุนไพร ในการดูแลสุขภาพ รวมถึงการปรับตัวให้เหมาะสมกับแนวโน้มการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน

  1. Health Promotion: The Role of Health Professionals in Promoting Health
    โดย Prof. Dr. Kenda Crozier ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และบทบาทของนักสุขภาพในการส่งเสริมสุขภาพของประชาชน
  2. DHA in Pregnancy
    โดย Thisara Weerasamai M.D. ซึ่งเป็นการพูดถึงบทบาทของ DHA (Docosahexaenoic acid) ในช่วงตั้งครรภ์ ซึ่งมีความสำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์และสุขภาพของมารดา
  3. Food and Herbs for Health in Thailand
    โดย Assistant Prof. Dr. Wudtichai Wisuttlprot ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับการใช้ อาหารและสมุนไพร ในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมสุขภาพและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ
  4. Healthcare Innovation and Health Business
    โดย Dr. Joni Haryanto ซึ่งเป็นการพูดถึง นวัตกรรมในด้านการดูแลสุขภาพ และการประยุกต์ใช้ ธุรกิจด้านสุขภาพ ในการเสริมสร้างการดูแลสุขภาพที่เข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ
  5. Current Trends in Diabetes and Complimentary Treatment to Improve Self-Management: Asian Food and Herbs for Health
    โดย Dr. Yulis Setiya Dewi ซึ่งนำเสนอแนวโน้มปัจจุบันในเรื่องของ โรคเบาหวาน และการใช้ อาหารและสมุนไพร ในการรักษาเสริมและช่วยในการจัดการโรคเบาหวานในชีวิตประจำวัน

การประชุมครั้งนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:

  • SDG 2: การขจัดความหิวโหย: การใช้สมุนไพรและอาหารเพื่อสุขภาพสามารถส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและการผลิตอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งช่วยลดปัญหาความหิวโหยและส่งเสริมสุขภาพที่ดีในระดับประชากร
  • SDG 3: การส่งเสริมสุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดี: การศึกษาและการใช้สมุนไพรและอาหารในการรักษาโรคและการเสริมสร้างสุขภาพ เป็นการสนับสนุนการส่งเสริมสุขภาพในระดับบุคคลและชุมชน
  • SDG 4: การศึกษาที่มีคุณภาพ: การประชุมวิชาการครั้งนี้ถือเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาองค์ความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ในการพัฒนาการศึกษาและการเรียนรู้ในสาขาวิชาพยาบาลศาสตร์และการแพทย์
  • SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน: การประชุมนี้มีส่วนช่วยในการสร้างชุมชนที่ยั่งยืน โดยการส่งเสริมการใช้สมุนไพรและอาหารเพื่อสุขภาพที่มีความยั่งยืน ซึ่งสามารถนำไปสู่การพัฒนาเมืองและชุมชนที่มีสุขภาพดี
  • SDG 17: การสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน: การสนับสนุนการวิจัยร่วมกับองค์กรภาครัฐและเอกชน รวมถึงการจัดงานในระดับนานาชาติ ทำให้เกิดการร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการวิจัยและการพัฒนา

การประชุมวิชาการ International Conference 2023 ถือเป็นเวทีสำคัญที่ไม่เพียงแต่แสดงถึงการสนับสนุนด้านการศึกษาและวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรในการส่งเสริมสุขภาพและการพัฒนาองค์ความรู้ แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาควิชาการและภาคธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมการใช้ อาหารและสมุนไพร ในการดูแลสุขภาพ เพื่อให้มีความยั่งยืนในระยะยาว

การประชุมนี้ได้ช่วยเสริมสร้างความรู้ใหม่ ๆ ในการใช้ สมุนไพรและอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นการส่งเสริม การพัฒนาที่ยั่งยืน ที่มีผลกระทบในทางบวกต่อทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และยังได้สร้างโอกาสในการ สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการศึกษาวิจัยด้านอาหารและสมุนไพรที่มีคุณค่าทางสุขภาพในอนาคต

ที่มา: งานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin