ม.นเรศวร จัดกิจกรรมใส่ฟันเทียมฟรี! บริการประชาชนพื้นที่ห่างไกล เชียงราย เพิ่มคุณภาพชีวิตและความมั่นใจ

วันที่ 2-4 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดกิจกรรมให้บริการใส่ฟันเทียมทั้งปากฟรีแก่ประชาชนในพื้นที่อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย โดยมีผู้รับบริการรวมทั้งหมด 35 ราย ณ โรงพยาบาลพาน การให้บริการในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบปัญหาการสูญเสียฟันอย่างรุนแรง จนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การรับประทานอาหาร การพูดคุย หรือการแสดงออกทางอารมณ์ ทำให้ขาดความมั่นใจในตนเอง

การดำเนินการในโครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้าน การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDG 3) และ การลดความเหลื่อมล้ำในสังคม (SDG 10) ซึ่งการให้บริการฟันเทียมนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพปากและฟันที่ดีขึ้น แต่ยังส่งผลให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย

ร่วมกันสร้างรอยยิ้มแห่งความสุข กิจกรรมนี้ยังเป็นการสร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับผู้รับบริการ โดยที่ประชาชนที่ได้รับการใส่ฟันเทียมสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุขอีกครั้ง รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทันตกรรมที่มีคุณภาพ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากโรงพยาบาลหรือคลินิกทันตกรรม

สำหรับประชาชนที่มีปัญหาการขาดฟันและต้องการขอรับบริการใส่ฟันเทียม สามารถประสานงานไปยังหน่วยทันตกรรมพระราชทานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีทีมทันตแพทย์จากคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมให้การช่วยเหลือในการรักษา สามารถติดต่อได้ผ่านเว็บไซต์ www.dent.nu.ac.th หรือทางทีมหน่วยใส่ฟันเทียมพระราชทาน

การให้บริการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้รับบริการ แต่ยังสะท้อนถึงการร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนบริการด้านทันตกรรม

ที่มา: งานประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวรได้รับการประเมิน ‘4 ดาว’ จาก Healthy University Rating System 2023 สะท้อนความสำเร็จในการส่งเสริมสุขภาพและสุขภาพจิตในมหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 มหาวิทยาลัยนเรศวรได้รับการประเมินในระดับ 4 ดาว จาก เครือข่ายมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพแห่งอาเซียน (ASEAN University Network – Health Promotion Network – AUN-HPN) ภายใต้เกณฑ์ Healthy University Rating System (HURS) ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความสำเร็จในการดำเนินงานเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการส่งเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย โดยการได้รับรางวัลในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาสุขภาพของนักศึกษาและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 3: Good Health and Well-Being) ที่มหาวิทยาลัยนเรศวรตั้งใจให้ความสำคัญมาโดยตลอด

การได้รับการประเมินเป็น “มหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับ 4 ดาว” นี้ เป็นรางวัลที่มีความหมายสูงและสะท้อนถึงการดำเนินงานที่ต่อเนื่องในการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของทั้งนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย รวมถึงการส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าในแคมปัสของมหาวิทยาลัยนเรศวร

การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ในโอกาสที่ได้รับการประเมินนี้ รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถกร ทองทา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการเข้าร่วม การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-22 มีนาคม 2567ห้องราชมณเฑียร แกรนด์ บอลรูม โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร

ในการประชุมวิชาการครั้งนี้ ได้มีการอภิปรายและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหลายประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการสร้างสภาพแวดล้อมการศึกษาและการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพในมหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นการส่งเสริม SDG 3 (Good Health and Well-being) โดยการจัดการประชุมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาระบบการสร้างเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัยทั้งในระดับประเทศและในภูมิภาคอาเซียน โดยมีการนำเสนอแนวทางและกลยุทธ์ในการส่งเสริมสุขภาพของทั้งนักศึกษาและบุคลากรในมหาวิทยาลัย.

ความสำคัญของการได้รับรางวัล “Healthy University Rating System (HURS) 2023” การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้รับการประเมินเป็น “มหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับ 4 ดาว” ตามเกณฑ์ Healthy University Rating System (HURS) ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญในการสร้าง “วัฒนธรรมการส่งเสริมสุขภาพ” ภายในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพจิตของนักศึกษา การส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสุขภาพ และการจัดการสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยให้เอื้อต่อการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพ

การได้รับรางวัลนี้สะท้อนถึงการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและการมุ่งมั่นในการสร้างมหาวิทยาลัยที่เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านสุขภาพให้กับนักศึกษาและบุคลากร โดยเฉพาะการสนับสนุนให้เกิดการมีสุขภาพดีในทุกมิติ ทั้งกายและจิต รวมถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีสุขภาพที่ดีและสามารถทำงานหรือเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การส่งเสริมสุขภาพในระดับมหาวิทยาลัย รางวัล 4 ดาว จาก Healthy University Rating System (HURS) เป็นเครื่องหมายของการยอมรับในความพยายามของมหาวิทยาลัยในการพัฒนาแคมปัสให้เป็น “มหาวิทยาลัยสุขภาพ” ที่มีการดำเนินงานด้านการส่งเสริมสุขภาพในทุกด้าน ทั้งในเรื่องของ การดูแลสุขภาพจิต การสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพ การจัดกิจกรรมที่สนับสนุนการออกกำลังกายและการดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพดี

สิ่งนี้สอดคล้องกับ SDG 3 ซึ่งมุ่งเน้นให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีและส่งเสริมการดูแลสุขภาพจิตในทุกๆ ชุมชน รวมถึงมหาวิทยาลัย เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ในระยะยาวที่ทั้งนักศึกษาและบุคลากรสามารถมีชีวิตที่มีสุขภาพดีและยั่งยืน

การร่วมมือในระดับชาติและภูมิภาค (SDG 17) การได้รับการประเมินในระดับนี้ยังเป็นการแสดงถึง ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมหาวิทยาลัย ในประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ SDG 17 (Partnerships for the Goals) ที่มีเป้าหมายในการสร้างพันธมิตรทางการศึกษาและวิจัยที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกๆ ด้าน.

การที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้รับการประเมินเป็น “มหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับ 4 ดาว” จาก Healthy University Rating System (HURS) แสดงถึงความสำเร็จในด้านการส่งเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย และการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแคมปัสที่เอื้อต่อการมีสุขภาพดีทั้งทางกายและจิต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย SDG 3 (Good Health and Well-Being) และ SDG 17 (Partnerships for the Goals) ในการสร้างความร่วมมือทางวิชาการและการพัฒนาระบบสุขภาพในระดับมหาวิทยาลัยและภูมิภาค.

ม.นเรศวร เข้าร่วมประชุมวิชาการสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 และรับรางวัล Healthy University Rating System 2023 ระดับ 4 ดาว

เมื่อวันที่ 21-22 มีนาคม 2567 คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์ รศ.ดร.นิทรา กิจธีระวุฒิวงษ์ พร้อมด้วย ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ ดร.รมย์นลิน เขียนจูม ได้เข้าร่วม การประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ เครือข่าย Thai University Network – Health Promotion Network (TUN-HPN) ในหัวข้อสำคัญ “Building a Culture of Health Promotion: Fostering Mental Health Awareness and Support on Campus” ณ ห้องราชมณเฑียร แกรนด์ บอลรูม โรงแรมมณเฑียร สุรวงศ์ กรุงเทพฯ

การประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการ ส่งเสริมสุขภาพ ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งเน้นการสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องของ สุขภาพจิต โดยเฉพาะในกลุ่มนิสิตและบุคลากรทางการศึกษา รวมถึงการพัฒนาแนวทางการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตในแคมปัส โดยมีการแชร์ประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทยและอาเซียนที่มีส่วนร่วมในเครือข่าย.

การจัดงานประชุมวิชาการในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และจัดขึ้นโดย สำนักงานเลขาธิการเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนด้านการสร้างเสริมสุขภาพ (ASEAN University Network-Health Promotion Network AUN-HPN) ภายใต้ความร่วมมือของมหาวิทยาลัยแกนนำในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการพัฒนาศักยภาพด้านการสร้างเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัยในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการของเครือข่ายมหาวิทยาลัยทั้งในประเทศไทยและอาเซียน

หัวข้อสำคัญของการประชุมในปีนี้ คือ “การสร้างวัฒนธรรมการส่งเสริมสุขภาพ: การส่งเสริมความตระหนักและการสนับสนุนสุขภาพจิตในแคมปัส” ซึ่งสะท้อนถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพจิตในชุมชนมหาวิทยาลัย การสร้างพื้นที่ปลอดภัยและสนับสนุนด้านจิตใจสำหรับนักศึกษาและบุคลากรถือเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับ SDG 3 (Good Health and Well-being) ที่มุ่งเน้นให้ผู้คนมีสุขภาพดีและการดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมสุขภาพในระดับสากล โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการพูดถึงแนวทางการปรับปรุงนโยบายและการนำเสนอแผนงานที่สามารถส่งเสริมสุขภาพจิตในหมู่นักศึกษาและบุคลากรในสถาบันการศึกษาอย่างยั่งยืน

ในงานนี้ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้รับเกียรติในการรับ รางวัล Healthy University Rating System (HURS) 2023 ในระดับ 4 ดาว ซึ่งถือเป็นการยอมรับถึงความสำเร็จในการส่งเสริมสุขภาพและการดูแลความเป็นอยู่ของนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย คณะสาธารณสุขศาสตร์และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมแสดงความยินดีและขอแสดงความขอบคุณทีมงานที่ทำงานร่วมกันจนสามารถบรรลุเป้าหมายสำคัญนี้ได้ โดย รศ.ดร.อรรถกร ทองทา ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายวิชาการของมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นตัวแทนในการรับมอบรางวัลดังกล่าว

การได้รับ รางวัล Healthy University Rating System (HURS) ในระดับ 4 ดาว นั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการดำเนินงานเพื่อสร้าง ชุมชนสุขภาพ ที่ดีและยั่งยืนในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในด้านการดูแลสุขภาพจิต การส่งเสริมสุขภาพกาย และการสนับสนุนในด้านการพัฒนาแหล่งทรัพยากรมนุษย์ที่มีสุขภาพดี การพัฒนานี้สามารถส่งผลบวกต่อทั้งนิสิตและบุคลากรในระยะยาว

นอกจากนี้ รางวัลนี้ยังเป็นการยืนยันถึงความร่วมมือในระดับ SDGs 17 (Partnerships for the Goals) ซึ่งเน้นการสร้างพันธมิตรและความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและองค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกมิติ โดยเฉพาะในเรื่องของ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องในทุกๆ ปี.

การเข้าร่วม ประชุมวิชาการมหาวิทยาลัยสร้างเสริมสุขภาพระดับชาติ ครั้งที่ 2 ของเครือข่าย TUN-HPN และการได้รับรางวัล Healthy University Rating System (HURS) 2023 ในระดับ 4 ดาว ของมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นการสะท้อนถึงความสำเร็จในด้านการส่งเสริมสุขภาพในมหาวิทยาลัย ทั้งในด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDG 3 และ SDG 17 นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการสร้าง พันธมิตรทางวิชาการและการร่วมมือระหว่างประเทศ ในการพัฒนาสุขภาพของนักศึกษาและบุคลากรในระดับสากล.

ม.นเรศวร ลงนาม MOU ร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ AACI ส่งเสริมมาตรฐาน GHA เพื่อยกระดับบริการสุขภาพ

เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2567 รศ.ดร.ศรินทิพย์ แทนธานี รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ (AACI) โดยมี ผศ.พญ.พิริยา นฤขัตรพิชัย คณบดีคณะแพทยศาสตร์, นพ.สมพร คำผง กรรมการบริหารสถาบัน AACI, รองประธานอาวุโส AACI อเมริกา และคุณเรวัต เด่นจักรวาฬ กรรมการผู้จัดการ AACI เอเชียแปซิฟิก ร่วมลงนามในครั้งนี้ ณ บริเวณโถงชั้น 4 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 2

วัตถุประสงค์ของการจัดโครงการ โครงการสัมมนามาตรฐานภาคีเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ (AACI) และการลงนามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) มีวัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมให้ผู้บริหารและบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงผู้บริหารจากคณะอื่นๆ ในมหาวิทยาลัย ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรฐาน GHA (Global Health Accreditation) และ AACI (Asian Association for Clinical Improvement) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพ

การลงนามใน MOU ครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวรและภาคีเครือข่ายต่างๆ เช่น GHA, AACI และ Planetree ในการพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยกระดับบริการทางการแพทย์และสุขภาพในมหาวิทยาลัยนเรศวรและชุมชนในระดับประเทศ

กิจกรรมภายในโครงการ โครงการสัมมนาครั้งนี้มีการจัดอบรมเพื่อให้ผู้บริหารและบุคลากรของคณะแพทยศาสตร์ ได้เรียนรู้ถึงมาตรฐาน AACI และ GHA ซึ่งจะช่วยในการพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพในด้านต่างๆ เช่น การปรับปรุงกระบวนการทำงานของโรงพยาบาล การยกระดับมาตรฐานการรักษาผู้ป่วย และการสร้างความยั่งยืนในระบบบริการสุขภาพ

นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทอดข้อมูลและแนวทางการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพผ่านการอบรมออนไลน์ทาง Zoom Meeting ซึ่งมีผู้บริหารและบุคลากรจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร รวมถึงคณะอื่นๆ และบุคลากรสายสนับสนุนที่สนใจเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 150 คน

ความสำคัญและการส่งเสริม SDGs 3 และ 17 การลงนาม MOU และการจัดสัมมนาครั้งนี้สอดคล้องกับ SDG 3: การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและการพัฒนาบริการทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพที่สามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิผล นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับ SDG 17: การสร้างความร่วมมือเพื่อการพัฒนา ซึ่งเน้นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและบริการสุขภาพอย่างยั่งยืน โดยการลงนามข้อตกลงความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยนเรศวรและภาคีเครือข่ายต่างๆ เพื่อการพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพในระยะยาว

การลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) นี้เป็นก้าวสำคัญในการยกระดับมาตรฐานการบริการสุขภาพและส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรต่างๆ ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญในวาระการพัฒนาที่ยั่งยืนของมหาวิทยาลัยนเรศวร.

ม.นเรศวร สำรวจโซเดียมในอาหารมหาวิทยาลัย ชูแนวทางลดความเสี่ยงโรคจากการบริโภคอาหารรสเค็ม

ในวันที่ 18 มีนาคม 2567 หน่วยเวชปฏิบัติชุมชนร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์และกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรได้จัดกิจกรรมสำรวจปริมาณโซเดียมในอาหาร โดยใช้เครื่องวัดความเค็ม (Salt Meter) เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในพื้นที่มหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDG 2 (การยุติความหิวโหย) และ SDG 3 (การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) รวมถึงการสร้างความร่วมมือในระดับภาคีเครือข่ายตาม SDG 17 (การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนา)

รายละเอียดการดำเนินการ กิจกรรมสำรวจในครั้งนี้มุ่งเน้นการประเมินระดับโซเดียมในอาหารที่จำหน่ายในโรงอาหารและร้านค้ารอบมหาวิทยาลัย โดยทำการสำรวจอาหารในโรงอาหารของหอพักมหาวิทยาลัยจำนวน 12 ร้านค้า และเมนูอาหาร 13 ชนิด พบว่าอาหารที่มีระดับความเค็มน้อยมีจำนวน 9 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 69.23 ของตัวอย่างทั้งหมด อาหารที่มีระดับความเค็มมาก พบว่า 3 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 23.08 และอาหารที่มีความเค็มในระดับเริ่มเค็ม พบว่า 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 7.69

นอกจากนี้ ยังได้สำรวจร้านค้ารอบมหาวิทยาลัยนเรศวรจำนวน 10 ร้านค้า เมนูอาหารทั้งหมด 10 ชนิด พบว่าอาหารที่มีความเค็มน้อยมีจำนวน 5 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 50 อาหารที่เริ่มเค็มมีจำนวน 4 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 40 และอาหารที่เค็มมากพบว่า 1 ชนิด คิดเป็นร้อยละ 10

การแนะนำและส่งเสริมการลดโซเดียมในอาหาร ในกระบวนการสำรวจครั้งนี้ ทีมงานได้ให้คำแนะนำแก่ร้านค้าเกี่ยวกับการลดปริมาณเครื่องปรุงรสในอาหาร โดยเฉพาะการลดการใช้น้ำปลาและเกลือ ซึ่งเป็นแหล่งของโซเดียมที่สำคัญ คำแนะนำดังกล่าวมุ่งเน้นที่การสร้างสมดุลในการปรุงรส เพื่อให้รสชาติยังคงอร่อย แต่ลดปริมาณโซเดียมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

นอกจากนี้ ทีมงานยังได้ติดสติกเกอร์แสดงข้อมูลเกี่ยวกับระดับความเค็มของอาหารสำหรับร้านค้าที่มีเมนูอาหารเค็มน้อยจำนวน 14 ร้าน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอาหารที่มีโซเดียมต่ำและดีต่อสุขภาพได้ง่ายขึ้น การติดสติกเกอร์นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้บริโภคตระหนักถึงปริมาณโซเดียมในอาหาร แต่ยังช่วยสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้าปรับปรุงการใช้เครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ผลกระทบและการยกระดับคุณภาพชีวิต การลดปริมาณโซเดียมในอาหารส่งผลโดยตรงต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับโซเดียมสูง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคไต การลดปริมาณโซเดียมในอาหารจึงเป็นการส่งเสริมสุขภาพที่ยั่งยืนในระดับบุคคลและสังคม อีกทั้งยังช่วยลดภาระด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคในระยะยาว

การสำรวจและการให้คำแนะนำนี้ยังช่วยเพิ่มการตระหนักรู้ในกลุ่มนิสิตและบุคลากรภายในมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับผลกระทบของโซเดียมต่อสุขภาพ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีโซเดียมต่ำจะส่งผลให้ชุมชนมหาวิทยาลัยนเรศวรมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้นและมีสุขภาพที่แข็งแรงมากยิ่งขึ้น

การเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน กิจกรรมการสำรวจโซเดียมในอาหารในครั้งนี้ไม่เพียงแต่สอดคล้องกับ SDG 2 (การยุติความหิวโหย) ในการส่งเสริมการเข้าถึงอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังเชื่อมโยงกับ SDG 3 (การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) ซึ่งมุ่งเน้นการลดการบริโภคโซเดียมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ การส่งเสริมให้มีการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคที่สามารถป้องกันได้

นอกจากนี้ การลงมือร่วมมือกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าโพธิ์และกองกิจการนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังสะท้อนถึง SDG 17 (การสร้างพันธมิตรเพื่อการพัฒนา) โดยการร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคประชาสังคมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีในชุมชน

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

การอบรมเชิงปฏิบัติการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน(BLS Provider)

โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ จัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน(BLS Provider) เรื่อง “การดูแลผู้ป่วยในภาวะการแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (anaphylaxis)” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเตรียมความพร้อมในกรณีที่อาจเกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์หรือเกิดภาวะฉุกเฉินภายในโรงพยาบาลทันตกรรม โดย อ.นพ.ทพ.สุรัตน์ แสงจินดา ในวันจันทร์ที่ 18 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ ชั้น 2 DT3227 ห้องเรียนบรรยาย (ห้องสโลป) โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

มหาวิทยาลัยนเรศวร ออกให้บริการรักษาทางทันตกรรมให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิษณุโลก

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 หน่วยทันตกรรมพระราชทานฯ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ออกให้บริการรักษาทางทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำกลางพิษณุโลก โดยมีผู้ต้องขังมารับการรักษาทางทันตกรรมจำนวน 554 ราย ซึ่งการให้บริการในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเหลือด้านการรักษาสุขภาพช่องปาก แต่ยังเป็นการสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และ SDGs 10: การลดความเหลื่อมล้ำ

ในโครงการนี้ ทีมทันตแพทย์จากหน่วยทันตกรรมพระราชทานฯ ได้มุ่งเน้นการให้บริการรักษาทางทันตกรรมที่ครอบคลุมต่อผู้ต้องขัง ซึ่งรวมถึงการถอนฟัน 548 ราย และการผ่าฟันคุด 6 ราย โดยบริการดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ต้องขังหลายราย ซึ่งแสดงความคิดเห็นว่ารู้สึกดีใจมากที่ได้รับการรักษาฟันจากคุณหมอ และบางคนยังแสดงความต้องการให้มีการจัดบริการด้านทันตกรรมในเรือนจำอย่างต่อเนื่อง

การให้บริการทันตกรรมในครั้งนี้ถือเป็นการส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีแก่ผู้ต้องขัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการรักษาคุณภาพชีวิตของผู้คนในกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่อาจไม่ได้รับการดูแลทางทันตกรรมที่เพียงพอในชีวิตประจำวัน การให้บริการนี้ช่วยลดปัญหาด้านสุขภาพช่องปากที่อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม และช่วยลดความเจ็บปวดจากปัญหาฟันที่ไม่สามารถได้รับการรักษาตามปกติ

การให้บริการทันตกรรมนี้สอดคล้องกับ SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นการให้บริการสุขภาพที่ทั่วถึงและมีคุณภาพ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ผู้ต้องขังเป็นกลุ่มคนที่มักไม่ได้รับการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพในทุกๆ ด้าน การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรได้ดำเนินโครงการนี้จึงเป็นการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นในการทำให้การรักษาสุขภาพช่องปากมีความยั่งยืนและเข้าถึงทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะการเข้าถึงบริการสุขภาพสำหรับกลุ่มผู้ต้องขังที่บางครั้งไม่ได้รับความสนใจจากสังคมในด้านนี้

การให้บริการนี้ยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ต้องขังมีสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ต้องขังให้ดีขึ้น ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อสิทธิพื้นฐานในการมีสุขภาพที่ดีของทุกคนในสังคม

อีกหนึ่งเป้าหมายที่สำคัญที่โครงการนี้สนับสนุนคือ SDGs 10: การลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมุ่งเน้นการลดช่องว่างและความไม่เท่าเทียมในด้านต่างๆ รวมถึงการเข้าถึงบริการสาธารณสุข โครงการนี้ช่วยให้ผู้ต้องขังในเรือนจำได้เข้าถึงบริการทันตกรรมอย่างมีคุณภาพ ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพระหว่างกลุ่มคนที่มีสถานะทางสังคมที่แตกต่างกัน

การให้บริการทันตกรรมแก่ผู้ต้องขังในครั้งนี้เป็นการช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงบริการทางสุขภาพที่มีคุณภาพ เนื่องจากผู้ต้องขังมักจะเผชิญกับข้อจำกัดในการได้รับการรักษาจากสาธารณสุขที่มีอยู่ในระบบ การนำบริการทันตกรรมไปให้ถึงกลุ่มนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามหลักการของ SDGs 10 ในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยมุ่งเน้นให้บริการแก่กลุ่มคนที่อาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพเท่าเทียมกับกลุ่มอื่นๆ

ผลกระทบต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับชุมชน โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการเสริมสร้างความเท่าเทียมในด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพของกลุ่มคนในสังคมที่มักถูกมองข้าม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ต้องขังที่อาจไม่ได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากอย่างเหมาะสม โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาปัญหาด้านสุขภาพในขณะนั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ต้องขังสามารถกลับเข้าสู่สังคมด้วยสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบทางบวกในด้านจิตใจและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

การที่มหาวิทยาลัยนเรศวรและคณะทันตแพทยศาสตร์ได้ดำเนินการดังกล่าวยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสถาบันการศึกษากับชุมชนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการนำความรู้และทักษะที่มีไปให้บริการแก่ผู้ที่มีความจำเป็นในชุมชน ส่งผลให้การพัฒนาที่ยั่งยืนเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่น

ม.นเรศวร วางแผนการดูแลด้านสุขภาพจิตนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวร

ในวันที่ 29 มีนาคม 2567 กองกิจการนิสิตร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดการประชุมคณะกรรมการดำเนินงานดูแลสุขภาพจิตนิสิต มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยมี ดร.จรัสดาว คงเมือง รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานิสิต ศิษย์เก่า และศิลปวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุม เพื่อทบทวนและพัฒนากระบวนการดูแลด้านสุขภาพจิตของนิสิตมหาวิทยาลัยนเรศวรให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของนิสิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้น การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยในการส่งเสริมและดูแลสุขภาพจิตของนิสิตอย่างจริงจัง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และทักษะต่างๆ ให้กับนิสิตทั้งในด้านการเรียนและการใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมายที่ 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (SDGs 3) และ เป้าหมายที่ 4: การส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพ (SDGs 4) ของการพัฒนาที่ยั่งยืน

การดูแลสุขภาพจิตของนิสิตเป็นหนึ่งในภารกิจที่มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญ เนื่องจากสุขภาพจิตที่ดีเป็นรากฐานสำคัญในการสนับสนุนให้นิสิตสามารถเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ในปี 2567 นี้ มหาวิทยาลัยได้ริเริ่มจัดประชุมคณะกรรมการเพื่อทบทวนกระบวนการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและปรับปรุงกระบวนการดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของนิสิตในด้านการดูแลสุขภาพจิตได้ดียิ่งขึ้นและครอบคลุมทุกกลุ่ม

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของมหาวิทยาลัยนเรศวรในการส่งเสริมสุขภาพจิตของนิสิต ซึ่งสอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3 ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในสังคม โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตของเยาวชนในสถาบันการศึกษา เพราะสุขภาพจิตที่ดีส่งผลต่อการเรียนรู้และพัฒนาตนเองในทุกด้าน การดำเนินงานในครั้งนี้ยังเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานิสิตทั้งในด้านการศึกษาและการใช้ชีวิต

การให้บริการด้านสุขภาพจิตที่มีคุณภาพในมหาวิทยาลัยนเรศวรมีบทบาทสำคัญในการช่วยนิสิตที่อาจเผชิญกับปัญหาความเครียด, ความวิตกกังวล, หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างการศึกษา โดยการดูแลในรูปแบบต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษา การบำบัด และการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะการดูแลสุขภาพจิต ทั้งนี้จะช่วยให้นิสิตสามารถรับมือกับปัญหาทางจิตใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและพัฒนาไปสู่การเป็นบุคคลที่มีคุณภาพ

ในขณะเดียวกัน, เป้าหมาย SDGs 4 ที่มุ่งส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพก็เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่มหาวิทยาลัยนเรศวรให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต การส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยให้นิสิตสามารถปรับตัวในการเรียนได้ดีขึ้น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้การศึกษาในมหาวิทยาลัยมีคุณภาพ โดยการให้การดูแลและสนับสนุนด้านสุขภาพจิตช่วยลดปัญหาการขาดเรียนหรือผลการเรียนที่ต่ำลงเนื่องจากปัญหาสุขภาพจิต

การดูแลสุขภาพจิตในเชิงป้องกันและการให้คำปรึกษาแบบเชิงรุก เป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนิสิตในการเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ในชีวิตทั้งในขณะศึกษาและหลังสำเร็จการศึกษา ทำให้นิสิตมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองไปพร้อมกับการพัฒนาทางด้านวิชาการ

ความสำคัญของการทบทวนกระบวนการดูแลสุขภาพจิต การประชุมในครั้งนี้มีจุดประสงค์สำคัญในการทบทวนและปรับปรุงกระบวนการดูแลสุขภาพจิตของนิสิต เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของนิสิตในปัจจุบัน โดยมีการจัดทำแผนงานและกิจกรรมต่างๆ ที่เน้นการดูแลทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การพัฒนากระบวนการดูแลสุขภาพจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความยั่งยืนในการศึกษา รวมถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและเอื้อต่อการเรียนรู้

การประชุมในครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกองกิจการนิสิตและโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างการดูแลสุขภาพจิตที่มีประสิทธิภาพ โดยร่วมมือกันในการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การให้คำปรึกษาทางสุขภาพจิต การบำบัดและดูแลอาการเครียดจากการเรียน หรือการพัฒนาทักษะการปรับตัวที่สามารถใช้ในชีวิตประจำวันได้ การร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะให้การดูแลสุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญในกระบวนการพัฒนานิสิต โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมทางการศึกษาที่อาจมีความเครียดและความท้าทายต่างๆ

ม.เรศวร จัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ ส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีในมหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 มหาวิทยาลัยนเรศวรได้จัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของนิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นภายใต้การดำเนินงานของคณะเภสัชศาสตร์ และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เช่น กองกิจการนิสิต และบุคลากรจากหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการเลิกบุหรี่ในสังคมมหาวิทยาลัย โดยมี ผศ.ดร.จรูญ สารินทร์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานอธิการบดี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567 ณ มหาวิทยาลัยนเรศวร

การรณรงค์เลิกบุหรี่ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่ทั้งในด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโทษของการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าที่มีต่อร่างกาย รวมไปถึงการให้ความรู้และแนวทางในการเลิกสูบบุหรี่ให้แก่ผู้ที่ต้องการเลิก ทั้งนี้การดำเนินกิจกรรมได้รับการสนับสนุนจาก ผศ.ดร.ภญ.ชวนชม ธนานิธิศักดิ์, ดร.ภญ.วรรณา ตั้งภักดีรัตน์, และ ผศ.ไชยวัฒน์ ไชยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของกิจกรรมในครั้งนี้ โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากผู้เข้าร่วมกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นนิสิตหรือบุคลากรของมหาวิทยาลัย

กิจกรรมในครั้งนี้ประกอบด้วยหลากหลายกิจกรรมที่ทั้งให้ความรู้และกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจที่ดีต่อสุขภาพของตนเอง ได้แก่:

  1. การให้ความรู้เกี่ยวกับโทษของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า: เป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับผลเสียต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ โดยเน้นย้ำถึงอันตรายของนิโคตินที่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจและอวัยวะอื่น ๆ รวมถึงผลกระทบที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน
  2. การจัดโซนให้คำปรึกษาสำหรับผู้ที่สนใจเลิกบุหรี่: ในโซนนี้จะมีการให้คำปรึกษาและแนะนำวิธีการเลิกบุหรี่ โดยการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญจากคณะเภสัชศาสตร์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพและการเลิกบุหรี่
  3. การเล่นเกมตอบคำถามหลังจากให้ความรู้: เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ที่สนุกสนานและมีส่วนร่วม ผู้เข้าร่วมสามารถตอบคำถามหลังจากฟังการบรรยายเกี่ยวกับผลกระทบของการสูบบุหรี่และเทคนิคในการเลิกบุหรี่
  4. การตัดสติกเกอร์ที่รูปปอดเพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับความอยากสูบบุหรี่: กิจกรรมนี้เป็นการกระตุ้นให้ผู้เข้าร่วมประเมินความต้องการของตนเองในการสูบบุหรี่และสามารถรับรู้ถึงผลกระทบของการสูบบุหรี่ที่มีต่อร่างกาย
  5. การประเมินสมรรถนะปอดและการใช้ชุดทดสอบนิโคติน: สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่ต้องการทราบถึงผลกระทบจากการสูบบุหรี่ จะมีการทดสอบสมรรถภาพปอด และใช้ชุดทดสอบนิโคตินเพื่อตรวจสอบระดับของสารนิโคตินในร่างกาย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบว่าผู้เข้าร่วมกิจกรรมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยจากการสูบบุหรี่มากน้อยเพียงใด
  6. การสัมภาษณ์นิสิตและบุคลากรในพื้นที่จัดกิจกรรม: กิจกรรมนี้เป็นการสัมภาษณ์ความคิดเห็นและประสบการณ์ของผู้ที่เข้าร่วมเกี่ยวกับการสูบบุหรี่และแนวทางการเลิกบุหรี่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้จัดกิจกรรมได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการปรับปรุงกิจกรรมในครั้งถัดไป

กิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ในครั้งนี้สอดคล้องกับ เป้าหมาย SDGs 3: การส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมีเป้าหมายในการลดการเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่และการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม การรณรงค์ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เน้นการเลิกบุหรี่ในหมู่นิสิตและบุคลากรในมหาวิทยาลัย แต่ยังมีการเผยแพร่ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพให้แก่ชุมชนโดยรอบมหาวิทยาลัยอีกด้วย

การสนับสนุนให้ผู้คนเลิกสูบบุหรี่ไม่เพียงแต่ส่งผลดีต่อสุขภาพส่วนบุคคล แต่ยังช่วยลดภาระการรักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัยที่เอื้อต่อการมีสุขภาพที่ดีและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

การจัดกิจกรรมรณรงค์เลิกบุหรี่ครั้งนี้เป็นตัวอย่างที่ดีของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมถึงคณะเภสัชศาสตร์, กองกิจการนิสิต และบุคลากรที่มีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์กิจกรรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แก่ชุมชนมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรับผิดชอบร่วมกันในการดูแลสุขภาพทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ โดยการให้ความรู้และสนับสนุนในการเลิกสูบบุหรี่

ม.นเรศวรจัด ‘มหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo’ เฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี ส่งเสริมสังคมสุขภาพดี

ในโอกาสครบรอบ 30 ปีแห่งการก่อตั้ง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้จัดกิจกรรมสำคัญเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้ด้านสุขภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนทุกช่วงวัยผ่านงาน “มหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “สังคมสุขภาพดี Healthier Society” ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม 2567ศูนย์แสดงนิทรรศการและการจัดประชุมนานาชาติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (KNECC) จังหวัดพิษณุโลก งานมหกรรมสุขภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการตระหนักรู้ด้านสุขภาพ การส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่ดีและยั่งยืน รวมถึงการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคสุขภาพ ซึ่งจะส่งผลกระทบในทางบวกต่อสังคมโดยรวม

มหาวิทยาลัยนเรศวรมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนตาม เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ SDG 3 (สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี) และ SDG 4 (การศึกษาที่มีคุณภาพ) ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นในงานมหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo ซึ่งเน้นการส่งเสริมการดูแลสุขภาพที่ยั่งยืน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกช่วงวัย และการสร้างความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วนในสังคม

สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) งานมหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo สอดคล้องกับ SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพที่ดีและการดูแลสุขภาพให้กับประชาชนในทุกช่วงวัย โดยการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อเสริมสร้างความตระหนักรู้ด้านสุขภาพและการป้องกันโรค รวมถึงการส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืน อันเป็นการสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีในระยะยาว นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับ SDG 4: การศึกษาที่มีคุณภาพ โดยการจัดกิจกรรมที่ให้ความรู้ทั้งกับประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อเสริมสร้างความรู้และทักษะที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ การป้องกันโรค และการส่งเสริมสุขภาพที่ดี

กิจกรรมในงานมหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo 2023
  1. การอัพเดตความรู้ด้านวิชาการสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ การเสริมสร้างความรู้และทักษะด้านการแพทย์อย่างต่อเนื่องถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบสุขภาพที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน กิจกรรมนี้จะช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถพัฒนาทักษะและองค์ความรู้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการส่งเสริมระบบสุขภาพของประเทศให้แข็งแกร่งและสามารถรองรับความต้องการของประชาชนในทุกด้านได้
  2. บริการตรวจสุขภาพฟรีกว่า 20 รายการ การจัดให้มีการตรวจสุขภาพฟรีกว่า 20 รายการเป็นการส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนในทุกช่วงวัย ซึ่งรวมถึงการตรวจวินิจฉัยที่สำคัญ เช่น การตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และการตรวจสุขภาพหัวใจ กิจกรรมนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประชาชนทราบถึงสถานะสุขภาพของตนเอง แต่ยังช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ ก่อนที่จะเกิดขึ้น การให้บริการตรวจสุขภาพฟรีเป็นหนึ่งในแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ
  3. การฝึกอบรมการปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) การฝึกอบรมทักษะการปฐมพยาบาลและการช่วยฟื้นคืนชีพ (CPR) เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที ซึ่งทักษะเหล่านี้สามารถช่วยชีวิตในกรณีฉุกเฉินได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัยในชุมชนและลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะฉุกเฉินต่างๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการศึกษาและฝึกทักษะที่มีประโยชน์ในด้านสุขภาพ
  4. การเรียนรู้ศิลปะและดนตรีเพื่อการบำบัด การใช้ศิลปะและดนตรีเพื่อการบำบัดเป็นกิจกรรมที่เน้นการส่งเสริมสุขภาพจิตและการฟื้นฟูสมรรถภาพทั้งร่างกายและจิตใจ การบำบัดด้วยศิลปะและดนตรีสามารถช่วยลดความเครียดและสร้างความสมดุลในชีวิต การส่งเสริมสุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีและยั่งยืน นอกจากนี้ยังช่วยให้ประชาชนสามารถรับมือกับความเครียดและปัญหาชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  5. การสาธิตการทำอาหารเพื่อสุขภาพ การส่งเสริมการทำอาหารเพื่อสุขภาพเป็นการเน้นการเลือกใช้วัตถุดิบที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ลดการบริโภคเกลือ น้ำตาล และไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ กิจกรรมนี้ยังสนับสนุนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ เช่น อาหารเพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ และอุตสาหกรรมที่ส่งเสริมวิถีชีวิตที่ยั่งยืน
  6. การรับบริจาคโลหิต การบริจาคโลหิตในงานมหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo เป็นกิจกรรมที่ช่วยรักษาชีวิตผู้ที่ต้องการเลือดในการรักษาโรคหรือในกรณีฉุกเฉิน การบริจาคโลหิตไม่เพียงแต่ช่วยในด้านสุขภาพ แต่ยังเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างชุมชนและบุคลากรทางการแพทย์ในการดูแลสุขภาพระดับชุมชน เป็นกิจกรรมที่สร้างความสมานฉันท์และเสริมสร้างจิตสำนึกทางสังคม
  7. การจัดการความสัมพันธ์ทางด้านความรักและสุขภาพทางเพศ การเสวนาและฝึกอบรมในด้านการจัดการความสัมพันธ์และสุขภาพทางเพศเป็นการเสริมสร้างความรู้ให้ประชาชนมีความเข้าใจในการดูแลสุขภาพทางเพศอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นการส่งเสริมสิทธิและความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและความสัมพันธ์ที่ดีจะช่วยให้สังคมมีความสมดุลและเคารพในสิทธิของผู้อื่น

การสร้างสังคมสุขภาพดีผ่านการร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ มหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo ยังเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัย หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชน ในการสร้างสังคมสุขภาพดีและยั่งยืน งานนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการให้บริการและความรู้ด้านสุขภาพแก่ประชาชน แต่ยังเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคสุขภาพ สร้างโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนผ่านการเสริมสร้างความรู้และการดูแลสุขภาพที่ครบวงจร

มหาวิทยาลัยนเรศวรยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ การสร้างความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง การป้องกันโรค และการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนในทุกๆ ด้านตามหลักการของ SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี และ SDG 4: การศึกษาที่มีคุณภาพ

ขอเชิญประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ และร่วมกันสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีไปพร้อมกัน!
พบกันในงาน มหกรรมสุขภาพ MED NU Health Expo ระหว่างวันที่ 18-20 มกราคม 2567 ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการและการจัดประชุมนานาชาติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (KNECC) จังหวัดพิษณุโลก.

ที่มา: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin