ม.นเรศวร ให้ความรู้ขั้นตอนระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย

กองอาคารสถานที่ยินดีต้อนรับ คณะศึกษาดูงานคณะเกษตรศาสตร์ ฯ สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

เมื่อเวลา 13.30 น. วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 บุคลากรกองอาคารสถานที่ให้การต้อนรับคณะศึกษาดูงานคณะเกษตรศาสตร์ ฯ สาขาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 3 พร้อมด้วย ดร.ณิชากร คอนดี อาจารย์ผู้ควบคุม เพื่อเยี่ยมชมและศึกษาขั้นตอนระบบบ่อบำบัดน้ำเสียของมหาวิทยาลัยนเรศวร บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ณ สถานีระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง มหาวิทยาลัยนเรศวร

ที่มา: กองอาคารสถานที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ถ่ายทอดองค์ความรู้กระบวนการผลิตน้ำสะอาด

กองอาคารสถานที่ยินดีต้อนรับ คณะศึกษาดูงานคณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 2

เมื่อเวลา 10.00 น. วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม 2565 บุคลากรกองอาคารสถานที่ให้การต้อนรับคณะศึกษาดูงาน นิสิตคณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2564 พร้อมด้วย อาจารย์ บุษกร ชมเมืองและคณะ เพื่อเยี่ยมชมและศึกษาขั้นตอนกระบวนการผลิตน้ำสะอาดรวมถึงการควบคุม ดูแลระบบผลิตน้ำประปาอย่างมีประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัยนเรศวร บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ณ โรงผลิตประปา มหาวิทยาลัยนเรศวร

ที่มา: กองอาคารสถานที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร จัดฝึกอบรมการใช้งาน Big Data Platform และจัดสัมมนาเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กับ บุคลากรจากการไฟฟ้า

วิทยาลัยพลังงานทดแทนและสมาร์ตกริดเทคโนโลยี (SGtech) มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้รับมอบหมายจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ให้ดำเนินงาน “โครงการการจัดทำแผนที่นำทางในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และระบบจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) สำหรับการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง” ซึ่งได้มีการจัดฝึกอบรมการใช้งาน Big Data Platform และจัดสัมมนาเผยแพร่ผลการดำเนินโครงการดังกล่าวให้กับ บุคลากรจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ระหว่างวันที่ 7 – 8 มี.ค. 2565 ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ แพลทินัม ประตูน้ำ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์แอปพลิเคชั่น Zoom Meeting

ที่มา: วิทยาลัยพลังงานทดแทนและสมาร์ตกริดเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวร

มหาวิทยาลัยนเรศวร พร้อมเป็นต้นแบบการเรียนการสอนอนุบาลและประถมศึกษาคุณภาพระดับสากล

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ณ  ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร (ปฐมวัยและประถมศึกษา) มหาวิทยาลัยนเรศวร ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดี และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวรให้การต้อนรับ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดอาคารเรียน “อาคารปฏิบัติการช้างน้อย”
       ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร กล่าวว่า “ การจัดงานในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าของมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ได้แสดงบทบาทในการสนับสนุน ส่งเสริม พัฒนาคนทุกช่วงชั้นวัย สำหรับโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร (ปฐมวัยและประถมศึกษา) ดูแลตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล จนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเป็นการปูรากฐานที่สำคัญทางด้านวิชาการ อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ทุกด้าน มีทักษะภาษาไทยและภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐาน เพื่อใช้ในการแสวงหาความรู้ และการเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นเบื้องต้นสำหรับศตวรรษที่ 21 ”
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุดากาญจน์ ปัทมดิลก รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร (ปฐมวัยและประถมมศึกษา) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ ภารกิจหลัก และแนวทางการดำเนินงานของโรงเรียนว่า โรงเรียนมุ่งเน้นการจัดศึกษาเพื่อพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข โดยมุ่งที่จะเป็นต้นแบบของการจัดการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อบูรณาการการเรียนรู้ต่างๆ ตั้งแต่ระดับอนุบาล  แล้วพัฒนาสู่ทักษะพหุภาษา และทักษะภาษาคอมพิวเตอร์ในระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา

ที่มา: ประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยนเรศวร

รมว.พม.เปิด “อาคารปฏิบัติการช้างน้อย” โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร.กาญจนา เงารังษี อธิการบดีและคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยนเรศวร ให้การต้อนรับ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิด “อาคารปฏิบัติการช้างน้อย” ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยนเรศวร (อนุบาลและประถมศึกษา) 

ที่มา: phitsanulokhotnews

กิจกรรมแนะแนวออนไลน์ คณะเกษตรศาสตร์ฯ ม.นเรศวร

กิจกรรมแนะแนวสาขาวิชาสำหรับปริญญาตรี คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยนเรศวร วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 15.00-16.30 น. : https://www.facebook.com/AGINaresuan/videos/1082185049014688

ที่มา: คณะเกษตรศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ม.นเรศวร

25 สถาบันการศึกษา เปิดให้นักศึกษาลงทะเบียนเรียนรายวิชา ‘ข้ามสถาบัน’ ได้

วันที่ 13 มกราคม 2565 ที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ การลงทะเบียนเรียนข้ามสถาบันระหว่างสถาบันสมาชิกของที่ประชุมคณะผู้บริหารบัณฑิตศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ (ทคบร.) โดยมีอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐและมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 25 สถาบันเข้าร่วม มี ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัด อว. เป็นประธาน และ ศ.ดร.พญ.พัชรีย์ เลิศฤทธิ์ ประธาน ทคบร. และคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นพยานลงนาม 

ทั้งนี้ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์เปิดเผยว่า อว. มีภารกิจหลักสำคัญ 3 ด้าน คือ การสร้างคน สร้างองค์ความรู้ และสร้างนวัตกรรม ภายในระยะเวลา 2 ปีเศษหลังการจัดตั้งกระทรวง อว. ได้พัฒนากลไกใหม่ๆ เพื่อปลดล็อกปัญหาและอุปสรรคที่เคยเป็นมาของมหาวิทยาลัยให้ได้มากที่สุด อาทิ การจัดกลุ่มมหาวิทยาลัยเพื่อความเป็นเลิศของแต่ละแห่ง การปลดล็อกระยะเวลาสูงสุดในการศึกษาเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต การพัฒนาเส้นทางความก้าวหน้าของอาจารย์ โดยเพิ่ม 5 ช่องทางในการเข้าสู่ตำแหน่งทางวิชาการ เป็นต้น 

ทั้งนี้ ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์กล่าวต่อไปว่า การลงนามในครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของระบบการอุดมศึกษาไทย ที่เกิดขึ้นโดยความเห็นชอบของอธิการบดีทั้ง 25 สถาบัน เรื่องนี้เป็นเรื่องยากอย่างมาก แต่วันนี้เราสามารถทำให้เกิดขึ้นจริงได้ ถือเป็นการนำนโยบายของ อว. ในด้านระบบคลังหน่วยกิตและการใช้ทรัพยากรร่วมกันมาสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อนักศึกษาที่ควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ให้พวกเขามีโอกาสเสาะแสวงหาความรู้ตามรายวิชาที่ตนสนใจ และได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายจากมหาวิทยาลัยที่ต่างก็มีของดีและความเป็นเลิศที่แตกต่างกัน ขณะที่มหาวิทยาลัยยังได้รับประโยชน์จากการบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลและองค์ความรู้ระหว่างมหาวิทยาลัย เป็นการสนธิกำลังกันให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศในก้าวต่อไป 

ด้าน ศ.ดร.พญ.พัชรีย์กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจ 25 สถาบันการศึกษา มีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ด้วยการเปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษาสามารถลงทะเบียนเรียนรายวิชาข้ามสถาบัน และสามารถใช้หน่วยกิตของรายวิชาดังกล่าวให้เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยกิตในหลักสูตรที่นักศึกษากำลังศึกษาได้ รวมทั้งสามารถนำไปอยู่ในระบบคลังหน่วยกิตสะสมได้ตามข้อกำหนดของแต่ละสถาบัน เพื่อเป็นการส่งเสริมประสบการณ์ทางวิชาการสังคมแก่นิสิต นักศึกษา 

สำหรับสถาบันการศึกษา 25 แห่งที่สามารถลงทะเบียนเรียนข้ามสถาบันได้ ประกอบด้วย 

  • มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 
  • มหาวิทยาลัยขอนแก่น 
  • จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 
  • มหาวิทยาลัยทักษิณ 
  • สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 
  • มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 
  • มหาวิทยาลัยนเรศวร 
  • มหาวิทยาลัยบูรพา 
  • มหาวิทยาลัยพะเยา 
  • มหาวิทยาลัยมหิดล 
  • มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 
  • มหาวิทยาลัยแม่โจ้ 
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง 
  • มหาวิทยาลัยรามคำแหง 
  • มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ 
  • มหาวิทยาลัยศิลปากร 
  • มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ 
  • มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 
  • มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 
  • มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี 
  • สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 
  • มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 

โดยนิสิต นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปสามารถศึกษารายละเอียดการลงทะเบียนข้ามสถาบัน และรายวิชาที่เปิดรับลงทะเบียนได้ที่ https://graduate.mahidol.ac.th/cgau/courses.php 

ที่มา: THE STANDARD

ม.นเรศวร ให้ความรู้ขั้นตอนระบบบ่อบำบัดน้ำเสีย

กองอาคารสถานที่ยินดีต้อนรับ คณะศึกษาดูงานคณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 3 เมื่อเวลา 8.30 น. วันที่ 23 ธันวาคม 2564 นายรุ่งรัตน์ พระนาค ผู้อำนวยการกองอาคารสถานที่พร้อมด้วยบุคลากร ให้การต้อนรับคณะศึกษาดูงาน นิสิตคณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาวิชาอนามัยสิ่งแวดล้อม ชั้นปีที่ 3 โดยมี ดร.กนกทิพย์ จักษุ อาจารย์ผู้ควบคุม เพื่อเยี่ยมชมและศึกษาขั้นตอนระบบบ่อบำบัดน้ำเสียของมหาวิทยาลัยนเรศวร บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น ณ สถานีระบบบำบัดน้ำเสียส่วนกลาง มหาวิทยาลัยนเรศวร

ที่มา: กองอาคารสถานที่ มหาวิทยาลัยนเรศวร

ม.นเรศวร ร่วมพัฒนา “ฐานข้อมูล” ที่ถูกต้อง เรียลไทม์ เครื่องมือเริ่มต้นช่วยสกัดเด็กหลุดจากระบบการศึกษา

“การมีระบบฐานข้อมูลที่ดีช่วยลดระยะเวลาในการทำงาน ไม่ต้องทำงานที่ซ้ำซ้อน ลดภาระงานเอกสาร  มีเวลาจัดเตรียมการเรียนการสอนได้มากขึ้น รวมทั้งสามารถนำมาเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ทำให้เกิดความรวดเร็ว เกิดประโยชน์ มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทำงานได้ดี โดยเฉพาะการมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือ”

นุตประวีณ์ ภัครวัฒน์อังกูร ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านราหุล จังหวัดเพชรบูรณ์ หนึ่งในเครือข่ายโรงเรียนพัฒนาตนเอง (TSQP) ของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เริ่มต้นเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากนำระบบสารสนเทศ Q-INFO มาใช้สนับสนุนการบริหาร ​การจัดการเรียนการสอน รวมทั้งภารกิจสำคัญอย่างการติดตามเด็กกลับมาเรียน สกัดเด็กหลุดจากระบบการศึกษาในช่วงนี้

หลังจากที่เข้าไปร่วมอบรมและนำระบบสารสนเทศ Q-INFO มาใช้ สิ่งแรกที่เปลี่ยนไปคือ จากการเขียนเอกสารประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ ป.พ. ที่เดิมครูต้องเขียนเอง แต่ระบบนี้ช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น ไม่ต้องมานั่งเขียนเอง แต่พิมพ์ออกมาจากระบบได้เลย อีกด้านหนึ่งยังเห็นข้อมูลเด็กในเชิงลึก เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือ ที่เชื่อมโยงกับระบบ CCT

จุดเด่นของระบบนี้คือ ครูมีข้อมูลที่ช่วยกันจัดเก็บแบบเรียลไทม์ ทั้งข้อมูลพื้นฐานของนักเรียน  ไปจนถึงอัตราการเข้าเรียนและผลการเรียน ​ทำให้ผู้บริหารสามารถเข้าไปเช็กได้เลยว่านักเรียนคนไหนขาดเรียนบ่อยแค่ไหน หรือเด็กคนไหนกำลังมีปัญหาในการเรียนที่จุดใด ก็จะสามารถรู้ได้ทันที ช่วยให้สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที 

ยกตัวอย่างที่ผ่านมามีเด็กที่ขาดเรียนไปเป็นสัปดาห์ เมื่อทราบเรื่องก็ติดต่อสอบถามไปยังผู้ปกครองว่านักเรียนขาดเรียนไปไหน หรือถ้าติดต่อผู้ปกครองไม่ได้ก็ประสานไปยังผู้ใหญ่บ้านว่าครอบครัวนี้ยังอยู่ในพื้นที่หรือย้ายไปไหน  เพื่อช่วยติดตามให้เขากลับมาเรียนได้ตามปกติ ไม่หลุดจากระบบการศึกษา

ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จะมีเด็กที่ไม่สามารถเรียนออนไลน์ได้ โรงเรียนจึงปรับให้เรียนแบบออนแฮนด์ มารับใบงานไปทำที่บ้านแล้วนำมาส่ง ครูจะคอยติดตามไม่ให้เด็กขาดหายไปในช่วงนี้ และเมื่อถึงช่วงเปิดโรงเรียนได้ปกติ ก็จะคอยติดตามอีกรอบว่ามีเด็กคนไหนยังไม่กลับมาเรียน

“เปิดเทอมมาตั้งแต่ 1 ธันวาคม ตอนนี้เด็กกลับมาเรียนเกือบครบ 100% จะมีบ้างที่นักเรียนไม่สบาย เราก็ให้นักเรียนรักษาตัวอยู่บ้านให้หายดีก่อนค่อยมาเรียน ขณะที่นักเรียนกลุ่มเสี่ยงหรือมาจากต่างพื้นที่ก็ให้กักตัวอยู่บ้านก่อน 2 สัปดาห์ แล้วก่อนมาเรียนก็ให้ตรวจสอบก่อน ถ้าปกติถึงจะให้เข้ามาเรียนได้ โดยสถานการณ์ขณะนี้ไม่น่าเป็นห่วงแต่อย่างใด”

สำรวจและ​ซ่อมเสริม “ความรู้”
ป้องกันเรียนไม่รู้เรื่อง ชดเชยช่วงปิดเรียน

ส่วนมาตรการรองรับหลังเปิดเทอมก็ถือเป็นอีกประเด็นที่สำคัญ ผอ.นุตประวีณ์อธิบายเพิ่มเติมว่า ในช่วงการเรียนทั้งออนไลน์และออนแฮนด์ที่ผ่านมา อาจทำให้เด็กๆ ไม่ได้รับความรู้เต็มที่เหมือนกับเรียนที่โรงเรียน ช่วงที่กลับมาเรียนอีกครั้ง  จึงต้องมีการเรียนซ่อมเสริมให้นักเรียน

“ครูจะเป็นคนสำรวจว่าเด็กแต่ละคนมีจุดอ่อนตรงไหน เด็กเล็กๆ หลายคนช่วงที่เรียนที่บ้านนานๆ จะทำให้เขาอ่านเขียนได้น้อยลง ครูก็จะไปสอนเสริมให้เขาก่อน เพราะการอ่านออกเขียนได้เป็นพื้นฐานสำคัญ ในขณะที่เด็กคนไหนที่เรียนทัน ครูก็ต้องเพิ่มเนื้อหาที่แอดวานซ์ให้เขาได้พัฒนา  ต้องยอมเหนื่อยขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์เรียนรู้ได้ดีขึ้น จากในวง PLC เราจะรับรู้ถึงจิตวิญญาณความเป็นครูของแต่ละคนที่เสียสละทุ่มเทเพื่อเด็กๆ”

สร้างการเรียนรู้ที่ดีขึ้น
ครูต้องไม่ชี้ถูกชี้ผิด แต่เปิดพื้นที่ให้เด็กคิดด้วยตัวเอง

โรงเรียนบ้านราหุลได้นำกระบวนการของมูลนิธิลำปลายมาศพัฒนาเข้ามาใช้ โดยมีทีมโค้ชจากมหาวิทยาลัยนเรศวรเป็นพี่เลี้ยงให้กับทีมครู ตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนการทำงานไปจนถึงการลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง

เมื่อครูเริ่มเปลี่ยนรูปแบบการสอนให้เด็กรู้จักคิด ครูเริ่มใช้โทนเสียงที่ต่ำ ไม่ใช้การสั่งแต่เปลี่ยนเป็นการพูดคุยเสนอแนะ  ทำให้เด็กกล้าแสดงออกมากขึ้น

“ระยะเวลาแค่ 3 เดือนแรกเราก็เห็นผลความเปลี่ยนแปลง จากการใช้จิตศึกษาเข้ามาช่วยให้นักเรียนรู้จักกำกับตัวเอง จนตอนนี้ช่วงเข้าแถวตอนเช้า แทบไม่ได้ยินเสียงนักเรียนคุยกัน จากแต่ก่อนที่เสียงจ้อกแจ้กวุ่นวาย

“รูปแบบนี้ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนของครูก่อน ซึ่งครูทั้งโรงเรียนก็พร้อมใจกันเปลี่ยน บางคนตอนแรกอาจจะต่อต้านบ้าง คิดว่าเดี๋ยวจะเกษียณอยู่แล้ว ทำไมต้องมาเปลี่ยน แต่พอครูคนอื่นเริ่มเปลี่ยน  และเห็นผลความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเด็ก ครูที่ยังไม่เปลี่ยนก็เปลี่ยนตาม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบ” 

ที่มา: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

ม.นเรศวร กสศ. ร่วมมือ สพฐ. เดินหน้า ระบบสารสนเทศเฟสสอง เชื่อมข้อมูล สกัดเด็กหลุดทันท่วงที

กสศ.ร่วมมือกับ สพฐ. เดินหน้าพัฒนาระบบสารสนเทศดูแลช่วยเหลือนักเรียน ระยะ 2 ตั้งเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ป้องกันความเสี่ยงเด็กหลุดออกจากระบบ ลดภาระครูในการกรอกข้อมูล พร้อมเชื่อมโยงข้อมูลให้รับทราบปัญหาของนักเรียนสู่การช่วยเหลือรายบุคคล นำร่องในเขตพื้นที่การศึกษา 29 แห่ง มีโรงเรียนร่วมแล้วกว่า 1,000 โรงเรียน 

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร จัดการประชุมชี้แจงการดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศดูแลช่วยเหลือนักเรียนระยะที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 ผ่านระบบ Zoom Meeting เพื่อให้ทราบถึงกรอบแนวทางการดำเนินงานและการขยายผลการทำงานร่วมกันในการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กนักเรียนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส โดยมีครูประจำชั้น ครูแอดมินระบบโรงเรียน ผู้อำนวยการสถานศึกษา และเจ้าหน้าที่เขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 29 เขตพื้นที่นำร่อง เข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ. กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่เห็นความสำคัญของการส่งเสริมการจัดการศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่ และร่วมกันออกแบบเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อจัดทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 

ดร.อัมพร พินะสา เลขาธิการ กพฐ.

โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนไทย เพราะสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานคือข้อมูลของเด็กรายบุุคคล ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะจัดการศึกษาที่ดีมีคุณภาพได้อย่างไร จากที่ผ่านมาหลายหน่วยงานได้ช่วยกันเก็บรวบรวมข้อมูลผ่านช่องทางต่างๆ จนมีประวัตินักเรียนที่บันทึกผ่านการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านดูสภาพความเป็นจริง

สิ่งที่สำคัญคือเรายังไม่มีการเชื่อมโยงข้อมูลทั้งระบบในลักษณะเครือข่ายที่ใช้ร่วมกันได้ทั้งประเทศ จึงกลายเป็นว่าข้อมูลที่มียังคงกระจัดกระจาย  และใช้กันอยู่เพียงเฉพาะในหน่วยงานนั้นๆ

วันนี้เป็นโอกาสดีที่ สพฐ. กสศ. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ร่วมกันออกแบบโปรแกรมรวบรวมข้อมูลของนักเรียนทุกคน และมีแบบแผนการทำงานที่ลงรายละเอียดว่าจะเก็บข้อมูลด้านใด หรือจะนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร นับเป็นจุดเริ่มต้นที่เราได้นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้าง Big Data ซึ่งแสดงผลได้เลยว่าเด็กทุกคนไม่ว่าจะเรียนอยู่ตรงไหนในประเทศ ก็ยังสามารถติดตามได้ทั้งหมด

“ทั้งนี้ยังเชื่อมข้อมูลกับกระทรวงสาธารณสุข หรือกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จะทำให้ทราบชัดเจน แยกแยะได้ว่านักเรียนที่อยู่ในข้อมูลนั้นเป็นกลุ่มใด เช่น นักเรียนกลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มพิการ กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ สามารถให้ความช่วยเหลือได้หมดและตรงจุด พร้อมอยากฝากให้ผู้ที่บันทึกข้อมูลทำโปรแกรมต่างๆ ตรวจสอบมากขึ้นด้วยว่า มีการเก็บข้อมูลที่ซ้ำซ้อนกันหรือไม่อย่างไร หากมีควรนำมาจัดเก็บไว้ในที่เดียวกัน เพื่อให้เกิดการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และการเก็บข้อมูลของนักเรียนเพื่อให้ความช่วยเหลือ ถือเป็นคุณูปการอย่างยิ่งสำหรับการบริหารจัดการข้อมูลในอนาคต และเป็นประโยชน์อย่างมากในการให้ความช่วยเหลือแก่เด็กนักเรียนในสังกัด สพฐ.ต่อไป พร้อมขอบคุณ กสศ.และมหาวิทยาลัยนเรศวร ที่ช่วยสร้างความร่วมมือเพื่อดูแลเด็กนักเรียน” ดร.อัมพรกล่าว 

นายนิสิต เนินเพิ่มพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจ
คุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ.

ด้านนายนิสิต เนินเพิ่มพิสุทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน สพฐ. กล่าวว่า ที่ผ่านมาศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน ประสานความร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ดำเนินโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยทดลองระบบนำร่องระยะที่ 1 ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา 29 แห่ง รวม 616 โรงเรียน ซึ่งประสบความสำเร็จในด้านการนำข้อมูลมาช่วยจัดทำระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและนักเรียนยากจนพิเศษ 

ขณะนี้ได้มีการต่อยอดขยายผลใช้งานระบบสารสนเทศดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนให้มากขึ้น โดยเป็นการดำเนินงานไปสู่ระยะที่ 2 ทำให้มีโรงเรียนที่เห็นประโยชน์การดำเนินงานเข้าร่วมโครงการเพิ่มอีก 391 โรงเรียน รวมแล้วทั้งสิ้น 1,005 แห่ง การเชื่อมโยงข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กนักเรียนอย่างมากที่ช่วยลดความเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ในการพัฒนากำลังคนเพื่อไปสู่การพัฒนาประเทศต่อไป

ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การรับรู้ต้นทุนด้านข้อมูลทางการศึกษาได้ตั้งแต่ระดับชั้นปฐมวัยจนไปสู่ชั้นเรียนที่สูงขึ้น จะสามารถทำให้เกิดการจัดสรรความช่วยเหลือแก่เด็กได้มากขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาต่อไปในอนาคต 

กลุ่มโรงเรียนที่เข้าร่วมทั้งในเขตพื้นที่การศึกษา 29 แห่งนี้ ถือเป็นผู้เบิกทางในการพัฒนาระบบในปี 2565 ต่อไป ซึ่งจากการเก็บข้อมูลในปี 2563-2564 ที่ผ่านมาพบว่า จากเด็กนักเรียนยากจนพิเศษกว่า 1,235,000 คน มีเด็กที่ยังไม่สามารถกลับคืนเข้าสู่ระบบการศึกษาได้ประมาณ 54,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ในชั้นเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 ร้อยละ 47.54 รองลงมาคือชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังจากนี้จะมีการติดตามนักเรียนกลับคืนสู่ระบบการศึกษาได้มากขึ้น 

ดร.ไกรยส ภัทราวาท รองผู้จัดการ กสศ.

สำหรับข้อมูลดังกล่าวสะท้อนได้ว่า จากการเชื่อมต่อข้อมูลของทั้ง DMC และ CCT ทำให้รับทราบถึงสถานการณ์ของเด็กนักเรียนได้ปีละ 2 ครั้ง ส่งผลต่อการให้ความช่วยเหลือไปยังเด็กที่มีความสำคัญมากกว่าเดิม สามารถตามเด็กนักเรียนให้กลับคืนสู่ระบบการศึกษาได้ และยังช่วยลดภาระของครูได้อย่างมากอีกด้วย จากเดิมที่ต้องลงข้อมูลจดไว้ในสมุด ก็สามารถลงบันทึกไว้ในโปรแกรมรูปแบบ One Application และนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นต่อไป

“การลงบันทึกข้อมูลเหล่านี้ก็ถือว่ามีความสำคัญ เพราะ กสศ.ได้ร่วมมือกับหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ในการให้ความช่วยเหลือกับนักเรียนที่ต้องการศึกษาต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป เช่น ได้ร่วมนำส่งข้อมูลไปยังสถาบันระดับอุดมศึกษาผ่านระบบ TCAS โดยอัตโนมัติ ทำให้สถาบันการศึกษาได้รับทราบข้อมูลความยากจนของเด็กและนำมาสู่ความช่วยเหลือได้อย่างตรงจุดมากกว่าเดิม ซึ่งมหาวิทยาลัยสามารถนำข้อมูลนี้มาใช้ประกอบการพิจารณาให้ทุนการศึกษาได้ต่อเนื่องทันที ขณะเดียวกันยังได้รายงานข้อมูลที่เก็บไว้ไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จนทำให้เกิดการระดมทุนให้ความช่วยเหลือแก่เด็กนักเรียนที่ยากจนได้มากขึ้น” 

ดร.ไกรยสกล่าวว่า ข้อมูลที่เก็บไว้ในระบบสามารถนำมาใช้กับภาคการสาธารณสุขได้เช่นกัน โดยเฉพาะบางครอบครัวที่มีผู้ป่วยติดเตียง โดย กสศ.ได้ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการเชื่อมโยงข้อมูล เพื่อให้รับทราบถึงจำนวนผู้ป่วยในสถานะต่างๆ ที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น และยืนยันว่าการประชุมครั้งนี้จะช่วยต่อยอด ขยายผลให้มีการนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาใช้งานได้จริง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในปีการศึกษา 2565 ต่อไป

นางสาวรักชนก กลิ่นเจริญ นักวิชาการ สำนักบริหารเงินอุดหนุนผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ กสศ. กล่าวถึงกรอบแนวทางและปฏิทินการดำเนินงานโครงการ ระยะที่ 2 นี้ว่า จะดำเนินงานทั้งในมิติของการเชื่อมโยงข้อมูลนักเรียนรายบุคคลจากระบบ DMC และข้อมูลการคัดกรองความยากจน ระบบ CCT เพื่อนำไปสู่การประมวลผลเพื่อทำงานช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายบุคคล คัดกรองความเสี่ยงของนักเรียนที่ครอบคลุมมิติอื่นๆ จำแนกกลุ่มนักเรียนให้ชัดเจน ทั้งกลุ่มปกติ กลุ่มเสี่ยง หรือนักเรียนที่มีปัญหา และการแจ้งเตือนแบบ Early Warning เพื่อนำมาสู่การให้ความช่วยเหลือแบบทันท่วงที 

พร้อมจุดเน้นการทำงานร่วมกันในเรื่องการถอดบทเรียนกลไกการทำงานระบบดูแลช่วยเหลือของสถานศึกษา เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และพัฒนาแนวทางการทำงานสู่การติดตามการช่วยเหลือนักเรียน ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ ภายในสถานศึกษา (School-Based Interventions) เพื่อให้ความช่วยเหลือมาถึงเด็กได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังเก็บรวบรวมความคิดเห็นของผู้ใช้งานและการพัฒนาระบบงานและระบบสารสนเทศที่สอดคล้องกับบริบทการทำงาน เพื่อปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอนาคตต่อไป

ขณะเดียวกันยังได้เปิดช่องทางการอบรมการใช้งานเครื่องมือสารสนเทศและประชุมแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ระหว่างครูผู้สอน ผู้ดูแลระบบ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่เขตพื้นที่การศึกษา ให้มีความเข้าใจในการดำเนินงานมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการอบรมผ่านระบบออนไลน์ และมีการพัฒนาระบบการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านระบบ E-Learning เพื่อให้คุณครูผู้ปฏบัติงานสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองทุกที่ทุกเวลา  ซึ่งจะสามารถเปิดลงทะเบียนให้อบรมได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี 2565 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้หลังจากวันที่ 7 ธันวาคมเป็นต้นไป สถานศึกษาที่อยู่ในโครงการนำร่อง สามารถเริ่มดำเนินการบันทึกข้อมูลผ่านระบบสารสนเทศ ทั้งการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล และคัดกรองความเสี่ยงที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยระบบนี้จะดำเนินการให้บันทึกข้อมูลได้จนถึงเดือนมีนาคม 2565 

ที่มา: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

Sustainability

NARESUAN UNIVERSITY

Solverwp- WordPress Theme and Plugin